ณัฐกมล วาสนา : แชมป์เทควันโดเยาวชนโลก ที่ละทิ้งเปียโนเพื่อเอาใจคุณพ่อ

ณัฐกมล วาสนา : แชมป์เทควันโดเยาวชนโลก ที่ละทิ้งเปียโนเพื่อเอาใจคุณพ่อ

ณัฐกมล วาสนา : แชมป์เทควันโดเยาวชนโลก ที่ละทิ้งเปียโนเพื่อเอาใจคุณพ่อ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วงการเทควันโดไทยสานต่อความสำเร็จจากรุ่นสู่รุ่นมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เหรียญทองแดงของ “วิว” เยาวภา บุรพลชัย ในโอลิมปิกเกมส์ 2004 จนถึงเหรียญทองประวัติศาสตร์ของ “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ในโตเกียวเกมส์ 2020

ซึ่งวันนี้ยังคงมีจอมเตะดาวรุ่งไทยที่ทำผลงานพร้อมแจ้งเกิดเจริญรอยตามรุ่นพี่ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยหนึ่งในนั้นคือ “ขนมจีบ” ณัฐกมล วาสนา นักเทควันโดหญิงวัย 15 ปี ที่เพิ่งคว้าแชมป์เยาวชนโลกปี 2022 ที่ประเทศบัลแกเรียมาครองได้สำเร็จในรุ่น 44 กิโลกรัม

นอกจากจะเป็นพิกัดน้ำหนักและรายการเดียวกับที่เทนนิสเคยลงชิงชัยเมื่อสมัยเป็นเยาวชนแล้ว ขนบจีบยังมีจุดเด่นอยู่ที่ช่วงขาที่ยาวและส่วนสูงถึง 178 ซม. จนเรียกได้ว่าแทบจะถอดแบบกันมาเลยก็ว่าได้

 

จึงเป็นที่น่าจับตาว่าอนาคตของเจ้าตัวจะสามารถเจริญรอยตามความสำเร็จที่รุ่นพี่กรุยทางไว้ได้หรือไม่ … ก่อนจะถึงวันนั้น Main Stand จึงอยากพาไปผู้อ่านไปทำความรู้จักกับเส้นทางการเป็นนักเทควันโดของเด็กสาวรายนี้ให้มากขึ้น

เปียโน หรือ เทควันโด

ขนมจีบ เติบโตขึ้นมาด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่ของครอบครัว คุณพ่อชยพล วาสนา และคุณแม่วิธิดา จงสูงเนิน เปิดโอกาสให้เธอได้ลองหาสิ่งที่ชอบนอกรั้วโรงเรียนด้วยการส่งไปเรียนเปียโนและเทควันโด ประเภทพุมเซ่ (ท่ารำ) ตั้งแต่อยู่ชั้นอนุบาล 3 

ทว่าเรียนสลับกันไปได้อยู่เพียงปีเดียว ทางครอบครัวก็ประสบกับปัญหาด้านเศรษฐกิจจนเกือบจะล้ม ทำให้ฐานะการเงินของที่บ้านไม่สู้ดีนัก คุณพ่อจึงต้องไปทำงานที่โรงงานส่วนคุณแม่ต้องไปขายน้ำส้มอยู่ริมทาง นั่นจึงเป็นทางแยกที่ทำให้เด็กน้อยต้องตัดสินใจว่าจะเลือกเรียนอะไรต่อเพียงอย่างเดียว เพราะที่บ้านไม่สามารถแบกค่าใช้จ่ายทั้งหมดไหว

 

“ตอนนั้นป๊าให้เลือกว่าจะเรียนอะไรต่อระหว่างเทควันโดกับเปียโน จริง ๆ หนูชอบเปียโนมากกว่าแต่เลือกเทควันโดไปเพราะป๊าชอบ อยากเอาใจป๊า แล้วตอนนั้นทางโค้ชได้ส่งหนูไปแข่งประเภทต่อสู้ด้วย ไปแข่งแล้วแพ้ โดนเตะยับเลย เตะไปร้องไห้ไป เลยรู้สึกว่าอยากเก่งขึ้น” ขนมจีบเผยถึงจุดเริ่มต้น ซึ่งเธอเพิ่งเฉลยความในใจดังกล่าวให้กับคุณพ่อและคุณแม่ได้รู้เมื่อไม่นานมานี้

เด็กสาวหน้าตาสดใส หน่วยก้านท่าทาง และส่วนสูงถึง 178 ซม. ดูเผิน ๆ แทบจะถอดแบบมาจากรุ่นพี่ทีมชาติอย่าง “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ สมัยยังเป็นดาวรุ่ง เธอเล่าถึงเส้นทางการเป็นนักกีฬาเทควันโดของเธออย่างอารมณ์ดี แต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาล้วนแฝงถึงความมุ่งมั่นจริงจังและสะท้อนถึงเส้นทางที่ต้องฝ่าฟันมาไม่น้อย 

หลังจากตัดสินใจที่จะเรียนเทควันโดต่อ คุณพ่อจึงปรึกษากับ “แม็ก” ชัชวาล ขาวละออ อดีตนักเทควันโดทีมชาติไทยดีกรีแชมป์โลกซึ่งเป็นเพื่อนของตน เพื่อหาสถานที่เรียนให้กับลูกสาว ก่อนจะไปลงเอยที่ “ยิมทวีศิลป์” ของ อาจารย์เข้ม ทวีศิลป์ คำนวน อดีตโค้ชเยาวชนทีมชาติ

การไปเรียนที่นี่ทำให้เธอต้องเดินทางจากบ้านเกิดอำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไปฝึกซ้อมที่ยิมย่านคลอง 7 ปทุมธานี เป็นประจำทุกวัน โดยคุณแม่จะขี่จักรยานยนต์ไปรับลูกสาวหลังเลิกเรียนที่โรงเรียนปัณณวิชญ์ แล้วพาขึ้นรถตู้ต่อเพื่อเดินทางข้ามจังหวัดทั้งไปและกลับวันละ 2 ชั่วโมง ซึ่งบางครั้งต้องซ้อมจนดึกถึง 3-4 ทุ่มเลยก็มี 

 

“พอเรียนได้พักนึงมันเริ่มสนุก ตอน ป.1 ไปแข่งรายการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แชมเปี้ยนชิพ แล้วชนะได้เหรียญทองครั้งแรก ดีใจมาก แล้วป๊าก็ซื้อตุ๊กตาบาร์บี้ให้เป็นรางวัล เลยตั้งธงว่าต้องชนะอีกเพื่อจะได้ของเล่น (หัวเราะ)”

“พอซ้อมไปเรื่อย ๆ มันก็เหนื่อยมากค่ะ เพราะกว่าจะซ้อมเสร็จกลับบ้านก็ดึกแล้วเช้าต้องไปเรียนต่อ แต่หนูรู้สึกว่ามาไกลเกินกว่าจะถอยหลังแล้ว ซึ่งแต่ละวันแม่จะให้หนูนอนวันละ 8 ชั่วโมง ถ้าไม่ครบก็จะไม่ให้ตื่น หนูเลยไม่เคยเข้าแถวตอนเช้าทันเลยสักวัน จริง ๆ ก็ไม่อยากไปโรงเรียนเลยทุกวัน แต่พอไปแล้วก็ต้องเรียน ทำอะไรไม่ได้” ขนมจีบ เผย ซึ่งแม้จะเหนื่อยเพียงไหนเธอก็ยังไม่ทิ้งการเรียนแถมยังได้เกรดเฉลี่ย 3.50 - 4.00 แทบทุกปี

นอกจากความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางที่ทั้งคู่ต้องเผชิญแล้ว ผู้เป็นแม่ยังต้องแบกค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาจากค่าเดินทางในวันที่ครอบครัวยังคงมีสถานะทางการเงินที่ไม่สู้ดีอยู่ด้วย ถึงขนาดที่คนรอบข้างแนะนำว่าให้เลิกดีไหมเพื่อตัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไป

แต่เมื่อเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและพัฒนาการที่ดีขึ้นของลูกสาว เธอก็พร้อมที่จะกัดฟันสู้ต่อไปด้วยกันเพื่อความฝันของลูก และคอยทำหน้าที่ซัปพอร์ตให้กำลังใจ คอยนวด คอยเช็ดเลือดให้ยามที่ลูกสาวบาดเจ็บจากการฝึกซ้อม … ซึ่งอาการบาดเจ็บที่เด็กสาวต้องเผชิญนั้นไม่ใช่แค่การเลือดตกยางออกจากผลพวงของกีฬาต่อสู้ทั่วไป แต่เป็นอาการเจ็บที่เธอต้องทุกข์ทรมานอยู่นานกว่า 5 ปี

ความสำเร็จภายใต้ความเจ็บปวด

ภายใต้ชายคา “ยิมทวีศิลป์” ขนมจีบได้เรียนรู้เทคนิคตั้งแต่ขั้นพื้นฐานไปจนถึงเคล็ดลับท่าเตะสำหรับนักกีฬาที่มีส่วนสูงและมีขายาวอันเป็นจุดเด่นของตัวเอง จนทำให้ฝีมือของเธอพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยมี อาจารย์เข้ม ทวีศิลป์ คำนวน ผู้ปลุกปั้นนักกีฬาสู่รั้วทีมชาติมาแล้วมากกว่า 40 ราย อาทิ “แม็ก” ชัชวาล ขาวละออ (แชมป์โลก), “เทม” เทวินทร์ หาญปราบ (เหรียญเงินโอลิมปิก), กานต์ธิดา แสงสิน (เหรียญทองยูธโอลิมปิก) เป็นผู้ติวเข้มด้วยตัวเอง

เด็กสาวเดินหน้ากวาดความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่อง ไล่ตั้งแต่รองแชมป์เยาวชนประเทศไทย รุ่นอายุ 12-14 ปี, แชมป์ยุวชนเอเชีย (Asian Cadet Taekwondo Championships 2019) และแชมป์ยุวชนโลก (World Taekwondo Cadet Championships 2019) … ทว่าแทบไม่มีใครรู้เลยว่าเบื้องหลังความสำเร็จเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นภายใต้ความทรมานจากอาการบาดเจ็บกระดูกหลังเท้าแตกที่เรื้อรังมานานกว่า 5 ปี

“ตอนประมาณ 10 ขวบ หนูไปแข่งรายการนึงแล้วเจ็บ พอไปให้หมอที่โรงพยาบาลเอกชนกดเช็คดูมันก็ไม่ได้เจ็บมากแต่เหมือนกระดูกมันมีรอยติดกันไม่สนิทเลยต้องใส่เฝือกไว้ 3 เดือน แต่พอถอดเฝือกออกก็เหมือนจะไม่หายร้อยเปอร์เซ็นต์ แค่ข้อเท้าพลิกมันก็กลับมาเจ็บอีก”

“แล้วมีอยู่วันนึงตอนซ้อม หนูเตะไปโดนศอกเพื่อนก็กลับมาเจ็บจนต้องใส่เฝือกอีก พอเริ่มดีขึ้นพอไปแข่งได้ก็เจ็บอีกจนต้องกลับมาใส่อีก หนูใส่เฝือกอยู่ 4 รอบจนมันเริ่มเจ็บมากขึ้นเรื่อย ๆ นอนอยู่บนเตียงไม่ได้ทำอะไรก็เจ็บ ไม่ได้ขยับอะไรอยู่เฉย ๆ ก็เจ็บ ยิ่งถ้าเดินลงน้ำหนักก็เหมือนจะล้มตลอดเวลา มันปวดมาก เหมือนกระดูกมันขยับได้ ทนมานานมาก เจ็บกับอาการแบบนี้มา 4-5 ปีได้” ขนมจีบ เผย

 

แม้จะมีอาการบาดเจ็บที่เรื้อรังแต่เธอก็ยังคงอดทนและฝืนฝึกซ้อมและลงแข่งขันต่อเนื่อง จนวันที่เธอได้มีโอกาสเข้าไปเก็บตัวฝึกซ้อมกับทางสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทยอย่างเต็มตัว ในฐานะนักกีฬาเยาวชนทีมชาติไทย เมื่อปลายปี 2021 จึงได้รับการดูแล ช่วยเหลือ และส่งตัวเข้ารับการรักษาอย่างดี

ทางเลือกตอนนั้นของเธอคือผ่าตัดเพื่อใส่สกรูเพื่อยึดกระดูกไว้หรือผ่าตัดเอากระดูกที่แตกออก ซึ่งไม่ว่าจะเลือกทางไหนโอกาสที่จะหายกลับมาเล่นกีฬาได้ตามปกติก็ 50/50 เธอตัดสินใจเลือกวิธีหลังเนื่องจากผ่าตัดแล้วใช้เวลาพักฟื้นเร็วกว่า

“มันเจ็บจนทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ ตอนนั้นกังวลมากเพราะหมอบอกว่ามีโอกาสที่จะกลับมาเล่นไม่ได้เยอะเลย แต่หนูมีแมตช์เตรียมจะแข่งอยู่เลยเลือกเสี่ยงไปเลยดีกว่า ถ้าหายก็หายเลย ถ้ามันจะเล่นไม่ได้ก็เล่นไม่ได้ไปเลย”

“ก่อนผ่าตัดหมอบอกว่าใช้เวลา 2 ชั่วโมง แต่พอผ่าตัดจริง ๆ ใช้เวลาไป 5-6 ชั่วโมง เพราะกระดูกส่วนที่แตกของหนูมันเล็กมาก หมอหากระดูกไม่เจอ แล้วหนูเตะซ้ำจนมันผิดรูปผิดทรงไปหมดแล้ว จากปกติกระดูกมันจะมน ๆ ธรรมดา แต่ของหนูมันเหมือนโดนหนูแทะ พอหักเสร็จมันก็ตกลงไปข้างล่าง หนูก็ซ้ำมันจนเละ พอหมอหาเจอก็บอกว่ามันเละมากจนแทบจะไม่ใช่กระดูกแล้ว เลยต้องใช้เวลานานกว่าจะเอากระดูกออกมาได้”

 

“ผ่าตัดเสร็จหนูก็ภาวนาอย่างเดียวให้กลับมาเล่นได้ พอหลัง 1 เดือนถอดเฝือกออก หมอให้ใช้ไม้เท้าไปก่อนโดยไม่ให้ลงน้ำหนักเต็ม แต่หนูก็เดินเลย หนูคิดอย่างเดียวว่าต้องกลับมาเล่นให้ได้ พอเดินได้หนูร้องไห้เลย มันเหมือนได้ขาใหม่ ดีใจมาก หนูไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเดินได้มา 4-5 ปี พอกลับมาเดินแล้วไม่รู้สึกเจ็บอีก มันก็แบบ ดีใจ … ดีใจมาก ๆ” เด็กสาวกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือจนแทบกลั้นน้ำตาแห่งความดีใจไว้ไม่อยู่ 

สิ่งที่เธอเล่าให้ฟังและน้ำตาที่ไหลออกมาบ่งบอกทุกอย่างเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานที่เธอต้องอดทนเผชิญมาอย่างยาวนาน … และเธอเพิ่งอายุแค่ 15 ปีเท่านั้น ซึ่งเมื่อปัญหาที่มีได้รับการคลี่คลายอย่างราบรื่น นาทีนี้เป็นต้นไปก็ถึงเวลาที่เธอจะไล่ล่าความฝันอย่างเต็มที่

แชมป์เยาวชนโลก

หลังจากผ่าตัดและพักฟื้นอยู่เกือบ 3 เดือน ขนมจีบมุ่งมั่นดูแลร่างกายและทำกายภาพอย่างตั้งใจเพื่อที่จะกลับมาฝึกซ้อมให้ได้เร็วที่สุด จนสามารถกลับมาลงแข่งขันได้ และประเดิมด้วยการคว้าเหรียญทองในศึกชิงแชมป์อาเซียน (Asean Taekwondo Championships 2022) เมื่อเดือนเมษายน 

ก่อนที่ 4 เดือนถัดมาเธอจะลงชิงชัยในศึกเยาวชนชิงแชมป์โลก (World TAEKWONDO Junior Championships 2022) ที่ประเทศบัลแกเรีย ในรุ่น 44 กิโลกรัมหญิง ซึ่งถือเป็นรายการที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเธอ 

แม้จะต้องแบกอายุสู้กับคู่แข่งเพราะรายการนี้เปิดให้นักกีฬาลงแข่งได้ตั้งแต่อายุ 15-17 ปี แต่ขนบจีบก็สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม เดินหน้าเก็บชัยชนะต่อเนื่อง รอบแรกชนะ ซัคชาม ยาดาฟ จากอินเดีย 2-0 ยก, รอบ 2 ชนะ อนา โลเปซ อิซเกวร์โด จากสเปน 2-0 ยก, รอบก่อนรองชนะเลิศชนะ แอชลีย์ ชอย จากสหรัฐอเมริกา 2-0 ยก, รอบตัดเชือกเอาชนะ จูเลีย กาลิเอโร จากอิตาลี 2-1 ยก พร้อมกรุยทางสู่รอบชิงชนะเลิศ

“ก่อนแข่งไม่ได้หวังอะไรมากเท่าไหร่ ซ้อมหนักมามากก็จริงแต่ก็ไม่อยากกดดันตัวเอง ได้ก็ดีถ้าไม่ได้มันก็คือไม่ได้ แต่พอเข้ารอบลึกขึ้นเรื่อย ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนความคิดตัวเองแล้ว มันไม่มีคำว่าไม่ได้แล้ว มาถึงตรงนี้มันถอยไม่ได้แล้ว”

ในรอบชิงชนะเลิศ ขนบจีบต้องเผชิญหน้ากับ พาร์เนีย ซัลมานี ตัวเต็งจากอิหร่าน โดยยกแรกจอมเตะไทยยังออกอาวุธไม่ถนัดแพ้ไปก่อน 3-4 แต่ยังกลับมาแก้ตัวได้ในยก 2 ด้วยการออกอาวุธเด็ดเหยียบหน้าคู่แข่งเก็บ 3 คะแนนได้ถึง 4 ครั้งรวด จนชนะเอาต์สกอร์ 12-0 คะแนน 

จนถึงยกตัดสิน ขนมจีบยังอาศัยลูกทีเด็ดเหยียบหน้าจนเอาชนะไปได้ 15-8 สกอร์รวมพลิกแซงชนะ 2-1 ยกคว้าเหรียญทองมาได้สำเร็จ ซึ่งเหรียญทองนี้เป็นเหรียญทองแรกและเหรียญทองเดียวของทัพเทควันโดไทยในทัวร์นาเมนต์นี้อีกด้วย

“นัดชิงเจออิหร่านหนูไม่คิดว่าตัวเองจะชนะได้ ยกสุดท้ายตอนเหลือเวลาประมาณ 10 วินาที ถ้าโดนตัดแต้มอีกรอบเดียวหนูก็แพ้ แต่พอเวลาจะหมดแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด จะถอยให้โดนตัดแต้มไม่ได้ พอทำได้ก็ดีใจมาก เหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยค่ะ ทุกอย่างที่อดทนฝึกซ้อมมา อดทนต่ออาการบาดเจ็บมา ทุกอย่างมันคุ้มค่ามาก” 

“ต้องขอบคุณป๊าและแม่ที่ซัปพอร์ตหนูมาตลอดจนถึงวันนี้ที่ประสบความสำเร็จ เขาเห็นหนูเจ็บมาตลอด เจ็บทุกวัน แต่หนูก็พยายามไม่อยากให้เขารู้ว่าเราเจ็บขนาดนั้น ไม่อยากให้เขาเป็นห่วง แล้วก็ต้องขอบคุณโค้ชทุกคนที่ดูแลสั่งสอนหนู ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ”

“อนาคตจากนี้ก็จะพยายามเก็บประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ ทำให้ดีที่สุดในทุก ๆ แมตช์ อยากไปแข่งโอลิมปิกสักครั้ง แล้วก็ทำให้เต็มที่ หนูเชื่อว่าหนูมีโอกาสที่จะทำได้ถ้าหนูเก็บประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ ทำให้ตัวเองแข็งแรงขึ้น มีลูกเล่นมากขึ้น ความฝันของหนูก็คงอยู่ไม่ไกล” ขนมจีบ ทิ้งท้ายอย่างมั่นใจ

แม้ตอนเด็กเธอจะแอบรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เรียนเปียโนต่อ แต่ถึงวันนี้ความรู้สึกนั้นไม่มีเหลืออยู่แล้ว เพราะเส้นทางเทควันโดที่เธอเลือกได้มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เธอ … ซึ่งนี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นบนเส้นทางแห่งความสำเร็จเท่านั้น ยังมีเวลาอีกมากมายให้เด็กสาวคนนี้ได้พัฒนาฝีมือมากขึ้นไปอีก และในอนาคตเธออาจจะประสบความสำเร็จตามเส้นทางที่รุ่นพี่อย่าง “เทนนิส” พาณิภัค เบิกทางไว้ก็เป็นได้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook