"เรือใบ.. ไกลฝั่ง"
นับตั้งแต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครอง 3 สมัยซ้อน ในระหว่างปี 2007-2009 ก็ยังไม่มีทีมไหนป้องกันแชมป์ได้อีกเลยใน 5 ปีหลัง และสถิตินี้คงจะยืนยงต่อไปเป็นปีที่ 6 เมื่อการชิงชัยในฤดูกาลนี้สิ้นสุดลง
เชลซีเป็นเต็งหามที่จะเข้าป้ายแชมป์ได้แบบม้วนเดียวจบในฤดูกาลนี้ เพราะนั่งแป้นเป็นจ่าฝูงของตารางมาตั้งแต่นัดแรกจนถึงนัดล่าสุด และนั่นหมายความว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คงไม่มีโอกาสเบิ้ลแชมป์เป็นปีที่สองติดต่อกัน
หนำซ้ำแชมป์เก่ายังฟอร์มหลุดกระเจิดกระเจิงในช่วงหลัง จนหล่นจากรองจ่าฝูงลงมาอยู่ที่ 4 ไปแล้ว เพราะถูกอาร์เซนอลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แซงขึ้นไปได้
การตามหลังเชลซีอยู่ 9 แต้ม โดยแข่งมากกว่าหนึ่งนัด และเหลือเกมอีกแค่ 7 นัดสุดท้ายให้ลุ้น ต่อให้แฟนเรือใบสีฟ้าที่มองโลกในแง่ดีที่สุดในโลก ก็ต้องยอมรับว่าโอกาสที่ทีมของตัวเองจะได้แชมป์สมัยที่ 3 ในรอบ 4 ปี คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
เป้าหมายของแมนฯ ซิตี้ ตอนนี้คงต้องเป็นการทำผลงานในนัดที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุด อย่างน้อยก็ต้องพยายามแซงปืนใหญ่และผีแดงขึ้นไปให้ได้เพื่อกู้หน้า เพราะนอกจากนั้นเรือใบสีฟ้าก็ไม่เหลืออะไรให้ลุ้นอีกแล้ว
การตกรอบ 4 ของลีกคัพที่ตัวเองเป็นแชมป์เก่า การจอดป้ายแค่รอบเดียวกันในศึกเอฟเอคัพ และการที่ยังไม่สามารถผ่านรอบ 16 ทีมสุดท้าย ของแชมเปี้ยนส์ ลีก ไปได้ เมื่อเจอกับคู่แข่งสุดหินอย่างบาร์เซโลน่าซ้ำสองปีซ้อน ล้วนแต่ตอกย้ำถึงผลงานที่น่าผิดหวังของแมนฯ ซิตี้ในฤดูกาลนี้
มานูเอล เปเญกรินี่ ประเดิมฤดูกาลแรกในตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนฯ ซิตี้ ได้อย่างสวยหรูเมื่อปีที่แล้ว เมื่อนำทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์พรีเมียร์ลีกและลีกคัพได้ หลังเข้ามารับตำแหน่งแทน โรแบร์โต้ มันชินี่ ซึ่งถูกไล่ออกไปหลังนำทีมแพ้ในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ฤดูกาล 2012/13 แม้ว่าเขาจะนำทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้หนึ่งปีก่อนหน้านั้น
หลายคนมองว่าสถานการณ์ของกุนซือชาวชิลีในตอนนี้ ก็ไม่ต่างจากกุนซือชาวอิตาเลียนที่เขาเข้ามาเสียบแทนเมื่อสองปีก่อนมากนัก คือไม่สามารถตอบสนองเป้าหมายของสโมสรได้ และอาจจะถูกกำจัดจุดอ่อนออกไป เพื่อให้กุนซือคนใหม่เข้ามารับความท้าทายนี้แทน
แต่ถ้าดูว่ากันจริงๆแล้ว ปัญหาของเรือใบสีฟ้าไม่ได้อยู่ที่กึ๋นหรือฝีมือของผู้จัดการทีมเพียงอย่างเดียว
แน่นอนว่าเปเญกรินี่ถูกมองว่าล้มเหลวในการเสริมทัพในซัมเมอร์ที่ผ่านมา เมื่อไม่ได้ดาวเตะตัวจี๊ดๆมาเสริม และการจ่ายไปถึงกว่า 40 ล้านปอนด์ เป็นค่าตัวของ เอเลควิม ม็องกาล่า กับ แฟร์นานโด นั้น ก็ถือเป็นการทำธุรกิจที่ไม่คุ้มค่า เมื่อดูจากผลงานของทั้งคู่ในฤดูกาลนี้
แต่อย่าลืมว่าแมนฯ ซิตี้ จะขยับเขยื้อนอะไรก็ต้องระแวดระวังไปหมด หลังจากกฎการเงินแฟร์เพลย์ถูกนำมาใช้ และอีกอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้คือความโรยราและฟอร์มที่หดหายไปของนักเตะตัวหลักหน้าเดิมๆ
แว็งซ็องต์ กอมปานี กัปตันทีมทีเคยเป็นหัวใจหลักในแนวรับ ฟอร์มหลุดจนถึงขั้นเคยถูกดร็อปไปเป็นตัวสำรอง ยาย่า ตูเร่ ที่เคยเป็นฮีโร่เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ก็ไม่สามารถเป็นความหวังในแดนกลางได้เหมือนเคย ส่วน เซร์คิโอ อเกวโร่ แม้จะยังทำประตูได้อยู่ แต่ค่าเฉลี่ยที่ยิงได้ 0.88 ลูกต่อนัด เมื่อปีก่อน ก็ลดลงมาเหลือแค่ 0.65 ลูกต่อนัด ในปีนี้
แมนฯ ซิตี้ชนะแค่ 4 จาก 14 นัดหลังสุดในทุกรายการ และชนะแค่ 6 นัดเท่านั้น ในการลงเตะในปี 2015 ขณะที่ 6 นัดหลังสุดที่ลงเตะพรีเมียร์ลีกนั้น เรือใบสีฟ้าชนะสลับแพ้มาตลอด และการแพ้ 2 ใน 3 นัดนั้นเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของทีมอย่างเบิร์นลี่ย์และคริสตัล พาเลซ
เปเญกรินี่จะต้องนำทีมเจอกับบททดสอบสำคัญอีกครั้งในเกมพรีเมียร์ลีกสุดสัปดาห์นี้ เมื่อต้องยกพลไปทำศึกดาร์บี้แมตช์กับแมนฯ ยูไนเต็ด ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด
ถ้าบุกไปติดเบรกผีแดงได้ และย้ำชัยชนะเหนือคู่แข่งร่วมเมืองได้เป็นนัดที่ 5 ติดต่อกัน ความมั่นอกมั่นใจก็คงพอจะกลับมาได้บ้าง และความกดดันต่างๆ ก็คงจะคลายลงไปได้พอสมควร
แต่ถ้าทำผลงานได้ไม่ดีพอ เรือใบสีฟ้าก็คงไม่สามารถหาทางกลับเข้าฝั่งได้ และคงต้องลอยเคว้งคว้างท่ามกลางความไม่แน่นอนต่อไป ว่าจะเกิดการล้างไพ่กันขนานใหญ่หรือไม่เมื่อจบฤดูกาล
Babybear