ดาวซัลโวแห่งดาวซัลโว : เพราะอะไร "ฮาลันด์" ถึง "พิเศษ" ได้ขนาดนี้? - [OPINION]
เพราะไม่ใช่เพียงดาวซัลโวทั่วๆไปของพรีเมียร์ลีก สิ่งที่ เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ สรรค์สร้างในเพียงปีแรกที่ย้ายเข้ารัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือการทำลายสถิติที่ยืนยาวมาร่วม 30 ปี ด้วยการตะบันแล้ว 35 ประตู จนนับเป็น "ดาวซัลโวแห่งบรรดาดาวซัลโว" ก็ว่าได้
คงไม่ต้องแจกแจงผลงานของ ฮาลันด์ ว่าทำอะไรมาแบบไหนอย่างไรให้ยืดยาวอีกแล้ว เมื่อการยิงประตูของเขากลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมากๆ ระดับที่ตื่นขึ้นมาแล้วต้องล้างหน้าแปรงฟันในทุกเช้า
สิ่งที่น่าขบคิดคือ นอกเหนือจากการดูแลของโค้ชมือดีในแต่ละวัน, แต่ละสโมสรที่ย้ายไป อะไรกันที่หลอมรวมจนทำให้ ฮาลันด์ ร้อนแรงเปรี้ยงปร้างเป็นพิเศษได้ขนาดนี้? ซึ่งที่ชัดเจนสุดคงเป็นการยื่นไมค์หาคนใกล้ชิดทั้งหลายแหล่ของ ฮาลันด์ ว่าคำตอบนั้นคืออะไร?
ก้าวข้ามทุกสถิติ.. และยังไม่จบ
เพียงไม่ทันขาดคำจากที่เปรยไว้ว่า ไม่แคล้ว เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ จะได้ทำลายสถิติลงในเพียงเกมวันพุธกับทาง เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ภายหลังเดินหน้ากระหน่ำตาข่ายมาแล้ว 34 ประตูจากการเล่นเกมพรีเมียร์ลีก 30 นัดก่อนหน้านี้
ก็เรียบร้อย.. หัวหอกนอร์วีเจียนกดเม็ดที่ 35 ด้วยการชิปนิ่มๆด้วยอีซ้ายข้ามตัว ลูคัสซ์ ฟาเบียนสกี เข้าไปอย่างเหนือชั้นและเฉียบคมเป็นสกอร์ 2-0 ก่อนที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะเช็กบิลกำชัยสวยๆ 3-0
นี่คือลูกที่ทำให้ ฮาลันด์ ก้าวข้ามทั้ง แอนดี้ โคล (1993/94) และ อลัน เชียเรอร์ (1994/95) ที่ร่วมกันถือครองสถิติ 34 ประตูเอาไว้อย่างยาวนานร่วม 30 ปี อันเป็นยุคสมัยที่ลีกสูงสุดของอังกฤษยังเล่นกันซีซั่นละ 42 เกมด้วย
35 ลูกไปเรียบร้อย และก็มั่นใจได้เลยว่าจะยังไม่หยุดลงเพียงเท่านี้ กับคิวเตะที่ยังคงเหลืออีก 5 นัด
มาร่วมดูกันไปด้วยกันว่า เมื่อสิ้นสุด 38 เกมของพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ลงแล้ว จอมปีศาจจากนอร์เวย์รายนี้จะยิงรวมสักกี่ประตู.. ถึง 40 หรือทะลุไปเลย?
เช่นกัน ยอดรวมในทุกรายการจะขยับไปอยู่ที่เท่าไหร่? เมื่อตอนนี้ก็ล่อไปแล้ว 51 ลูก ตัวเลขที่มีแค่ คริสเตียโน โรนัลโด กับ ลิโอเนล เมสซี ช่วงพีกๆเท่านั้นที่กล้าฝันถึง!
สายเลือดและพันธุกรรมที่ส่งต่อ
กับการตั้งคำถามว่า อะไรที่ทำให้ เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ เป็น เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ อย่างทุกวันนี้ แรกสุดก็คงต้องชี้ไปที่การส่งต่อความเป็น "นักกีฬา" ภายในตระกูลฮาลันด์
อย่างที่ทราบกันดี คุณพ่อของ เออร์ลิง ก็คือ อัลฟี ฮาลันด์ ผู้เป็นนักเตะระดับพรีเมียร์ลีก สร้างชื่อกับทั้ง น็อตติงแฮม ฟอเรสต์, ลีดส์ ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (โดยเฉพาะการเป็นคู่กรณีของ รอย คีน) ในช่วงยุค 90 ต่อต้น 2000
แต่ที่สำคัญและมีส่วนช่วยเพิ่มเติมแน่ๆ ก็คือการที่คุณแม่ของเขายังได้แก่อดีตนักกรีฑาดีกรีรางวัลสัตตกรีฑา อย่าง กรี มาริตา เบราต์
นั่นทำให้ ฮาลันด์ โตมาพร้อมทัศนคติและบรรยากาศแบบนักกีฬาๆในครอบครัว จนเริ่มฉายแสงตั้งแต่อายุยังน้อยมาก กับกีฬายืนกระโดดไกล ที่มีการบันทึกสถิติทาง International Age Records ว่า เจ้าหนูฮาลันด์ในวัยแค่ 5 ขวบเป็นเจ้าของสถิติโลก กระโดดได้ไกลถึง 1.63 เมตร
คุณพ่อ อัลฟี ยังเคยเผยไว้ว่า ฮาลันด์ สนุกกับการเล่นกีฬาในหลายประเภทมากตอนที่ยังเด็กทั้ง แฮนด์บอล, กรีฑา, สกีครอสคันทรี จนไปเข้าตาโค้ชแฮนด์บอลทีมชาตินอร์เวย์ จะเรียกไปติดธงเป็นเรื่องเป็นราวมาแล้วด้วยซ้ำ
แต่อย่างไรเสีย การเลือกขีดเส้นทางชีวิตตัวเองมายังสนามฟุตบอล ก็แน่นอนอยู่แล้วว่า คุณพ่อ อัลฟี ส่งอิทธิพลสำคัญสุด
"คุณพ่อของผมคือตัวอย่างสำคัญมาก" ฮาลันด์ ผู้ลูก เอ่ยไว้
"ผมบอกกับตัวเองมาตลอดว่าผมอยากโตไปเป็นนักฟุตบอลอาชีพในระดับสูง มันคือสิ่งที่ผมพร่ำบอกกับตัวเองมาทั้งชีวิต"
การเอาชนะ "รุ่นพี่" คือเรื่องธรรมชาติ
กับการย้ายมายังพรีเมียร์ลีกเป็นปีแรก และด้วยวัยเพียง 22 ปี ก็ชัดเจนว่าไอ้เด็กบ้านี่มัน "ห้าว" เกินวัยไปเยอะ.. ไม่ใช่ถนัดเรื่องต่อยตี แต่ถ้ามีชื่อ ฮาลันด์ เมื่อไหร่ ก็แทบจะมีการันตีประตูเมื่อนั้น.. 35 ประตูจาก 31 นัดเป็นพยาน
แต่ก็คงต้องบอกว่า อะไรแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะ ด.ช.เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ ผ่านมาเยอะ ตบรุ่นพี่คว่ำมาแยะ!
"ตอนที่ผมเห็น เออร์ลิง ครั้งแรก คือช่วงที่เขาอายุประมาณ 5 ขวบ ที่เขามาร่วมเล่นเกมในร่มกับบรรดาพี่ๆที่โตกว่าปีนึง" อัล์ฟ อิงเว เบิร์นต์เซน อดีตโค้ชของ ฮาลันด์ สมัยเล่นกับ เอฟเค ไบรน์ (2005-2016 แคมป์เยาวชน, 2016-2017 ขึ้นชุดใหญ่) เผย
"การสัมผัสบอล 2 ครั้งแรกของเขาก็กลายเป็นประตูแล้ว เขาทำได้ดีตั้งแต่หนแรกๆ แม้เขาจะไม่เคยผ่านเกมฟุตบอลระดับอะคาเดมีที่ไหนมาก่อนเลยก็ตาม"
"เขาเริ่มต้นเล่นกับเพื่อนๆในวัยเดียวกัน แต่ก็เพราะเขาเล่นดีกว่าเพื่อนอย่างเห็นได้ชัด เราจึงขยับเขาขึ้นมาเล่นกับทีมรุ่น 6 ขวบ ที่เขากับคนอื่นๆอีก 20 กว่าคนจะมารวมตัวกันในทุกสุดสัปดาห์ เพื่อเล่นในสนามหญ้าในร่มของเรา"
"ตัวของเขาเล็กกว่าคู่แข่งโดยส่วนใหญ่ ซึ่งก็เพราะเขาอายุน้อยกว่า 1 ปี แต่แม้ว่าคู่แข่งของเขาจะตัวโตกว่า เขาก็ยังยิงประตูได้อย่างสม่ำเสมอ จากนั้นเมื่อเขาอายุได้สัก 11-12 เราก็มั่นใจกันแล้วว่าเขาจะไปได้ไกลแน่ เรารู้กันตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าเขามีทุกอย่างที่ควรต้องมีเพื่อที่จะเป็นตัวทีมชาติ"
"แมวมองระดับนานาชาติเริ่มสังเกตเห็นเขาในตอนที่เขาลงเล่นเกมทีมชาตินอร์เวย์ ชุดยู-15 เป็นครั้งแรก และก็เริ่มจับตามองมากขึ้นเมื่อเขาเริ่มต้นทำประตูในทีมชาติได้ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจว่าใครจะกำลังมองอยู่ ไม่ได้สนใจว่าคู่แข่งของเขาคือเพื่อนสนิทหรือคู่แข่งจากต่างชาติ เขาไม่เคยกลัว เขาให้ความเคารพคู่แข่งของเขาเสมอ แต่ก็ไม่เคยเกรงกลัวใครทั้งนั้น"
จะเล็กจะใหญ่ จะคู่แข่งหน้าไหน ก็พร้อมลุย
นอกจากการ "แบกอายุ" เผชิญหน้ากับแข้งรุ่นพี่มาตั้งแต่ยังเด็กยังเล็กนัก ความห้าวพิเศษใส่ไข่ที่กลายมาเป็นคุณสมบัติสำคัญของ ฮาลันด์ ในวัยหนุ่ม ก็คือการที่เขามีหัวใจกร้าวแกร่ง ไม่หวั่นแรงกดดัน ไม่เคยคิดหวาดกลัวต่อคู่แข่งใดทั้งสิ้น
หรือบางความหมายก็คือ จะใหญ่แค่ไหนก็มา "น้องเออร์" จะล่อให้จั๋งหนับ
กุนนาร์ ฮัลเล เป็นเพื่อนรุ่นพี่ของคุณพ่อในตอนที่ค้าแข้งกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด และทีมชาตินอร์เวย์ ก็ด้วยความที่เป็น "ลูกเพื่อน" ก้าวเดินของเจ้าหนู เออร์ลิง จึงอยู่ในสายตาของ ฮัลเล มาตลอด
"ครั้งแรกที่ผมได้เห็น ฮาลันด์ เล่น คือตอนเขาอายุราวๆ 15 ปี ที่ตอนนั้นเขายังตัวเล็กนิดเดียว เรื่องร่างกายไม่ใช่ข้อได้เปรียบ" ฮัลเล ระบุ
"มันชัดเจนตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าเขาคือนักเตะฝีเท้าดีที่สามารถทำประตูได้เยอะ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นเป็นพิเศษ หลายๆอย่างยังต้องถูกพัฒนา"
"การที่วันหนึ่งเขาจะก้าวไปเป็นซูเปอร์สตาร์ ดูมองไม่เห็นเลยในตอนนั้น"
"ในตอนนั้นไม่มีใครมองว่าเขาจะโตไปเป็นยอดดาวเตะ แต่เขาพัฒนาตัวขึ้นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาได้เรียนรู้วิธีการอ่านเกมมาตั้งแต่ตอนนั้น ตอนที่เขายังไม่ได้กล้าแสดงออกแบบทุกวันนี้"
"เขาไม่กลัวอะไรเลยทั้งสิ้น บ่อยครั้งที่เขาซ้อมคนเดียวในสมัยเด็ก และทำมันซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะเขามีเป้าหมายใหญ่ในหัวใจ นั่นคือการไปสู่ระดับท็อปให้ได้"
มืออาชีพเต็มขั้น.. ตั้งแต่ในท้องแม่!
หนึ่ง คือความมุ่งนั่นระดับสูงลิบ และสอง ก็คือการพยายามรักษาตัวเองให้อยู่ในแนวทางของความเป็น "มืออาชีพ" แบบไม่แตกแถวแตกแนวไปแม้แต่กระเบียดเดียว
แม้ในแง่หนึ่งคือการก้าวข้ามเส้นของความเป็นมนุษย์ ไปสู่หุ่นยนต์เครื่องจักรไร้หัวใจ แต่บางที นี่แหละคงเป็นคีย์สำคัญของการทำงาน
ก็ตั้งแต่ ไบรน์ มา โมลด์, เรด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คุณเคยได้ยินข่าวฉาว ข่าวคาว ข่าวในแง่ลบของ ฮาลันด์ สักครั้งไหมล่ะ?
"แต่ไหนแต่ไรมา เขาคือคนที่ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาคอยเคี่ยวเข็ญ ไม่ว่าจะโค้ชหรือใครก็ตามรอบตัวเขา เมื่อสิ่งเดียวที่เขามุ่งมั่นตั้งใจคือ ฉันจะโตขึ้นไปเป็นนักฟุตบอลอาชีพ" ฮัลเล กล่าวเสริม
เช่นเดียวกับ เจสซี มาร์ช อดีตนายใหญ่ ลีดส์ ซึ่งก็เคยเป็นเจ้านายของ ฮาลันด์ มาก่อนเหมือนกันที่ เรด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก โดยโค้ชอเมริกันเอ่ยถึงศิษย์เก่าไว้ว่า "สิ่งแรกสุดที่แวบขึ้นมาเมื่อพูดถึง เออร์ลิง ฮาลันด์ ก็คือ เขามันสุดยอดมืออาชีพ มันสนุกดีในการทำงานร่วมกับเขา เขามาซ้อมในทุกวันด้วยพลังแรงสูง เขาเป็นคนแบบนั้น"
"อิทธิพลแง่บวกที่เขาสร้างให้กับทีมเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเขาต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าเรื่องใด ทุกคนก็พร้อมยื่นมือ ยังรวมถึงครอบครัว คุณพ่อของเขา รากฐานอันแข็งแกร่งเหล่านี้คือตัวช่วยให้เขารับมือกับทุกสถานการณ์ในชีวิตได้"
หรือกับอดีตเพื่อนร่วมทีมกระทิงแดงออสเตรียอย่าง มักซิมิเลียน โวเบอร์ ก็ว่า "เขาคือมืออาชีพอย่างสมบูรณ์แบบ ในขณะที่เราสุมหัวเล่นไพ่กันในทริปเยือนสักเกม คุณจะเห็นเขาจดจ่ออยู่กับการการอ่านหนังสือหรือข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เช่นว่า เขาจะพัฒนาคุณภาพการนอนหลับ หรือการไดเอ็ตให้ดีขึ้นได้อย่างไร เขาจะมองหารายละเอียดเล็กๆในทุกสิ่งอยู่เสมอ เพื่อที่เขาจะสามารถพัฒนาตัวขึ้นไปได้"
ปิดท้ายด้วยอีกถ้อยคำจาก อัล์ฟ อิงเว เบิร์นต์เซน ที่คงอธิบายได้อย่างเห็นภาพ ว่าความเป็น "มืออาชีพ" ที่ ฮาลันด์ ยึดถือ มันเป็นแบบไหน
"ยิ่งเขาเติบโตขึ้น เขาก็ยิ่งทำงานหนักขึ้น เขาคือคนที่ใครก็อยากร่วมงานด้วย เขายิ้มอยู่เสมอ พร้อมๆกับที่ลงแรงซ้อมหนักมาก"
"กับคนอย่าง เออร์ลิง คุณไม่อาจสร้างขึ้นได้ เขาเกิดมาพร้อมพรสวรรค์สุดพิเศษ และทัศนคติที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง!"
อัลบั้มภาพ 16 ภาพ