ความสุข ความกังวล และความหวัง.. กับ "เหรียญทองที่รออยู่"

ความสุข ความกังวล และความหวัง.. กับ "เหรียญทองที่รออยู่"

ความสุข ความกังวล และความหวัง.. กับ "เหรียญทองที่รออยู่"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ขุนพลช้างศึก ยู23" ต่างพกฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเองลงสนาม และนั่นเป็นที่มาของสกอร์ 5-0 เหนือทีมชาติอินโดนีเซีย ลิ่วเข้าชิงเหรียญทองซีเกมส์แบบประทับใจกองเชียร์ทั้งประเทศ

หลังจาก "โค้ชโชค-โชคทวี พรหมรัตน์" ตัดสินใจพักผู้เล่นตัวหลักของทีม นำโดย "เมสซี่เจ-ชนาธิป สรงกระสินธ์" และ "กัปตันตัง-สารัช อยู่เย็น" ในสองเกมสุดท้ายของรอบแรก มองไกลไปถึงเกมตัดเชือกและชิงชนะเลิศเรียบร้อย

การกลับมาลงสนามอีกครั้ง ชนิด "ฟูลทีม" ตั้งแต่หลังยันหน้าในเกมนี้ พิสูจน์แล้วว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดของสต๊าฟฟ์โค้ช!

"ชนาธิป" คือเป้าหมายของเพื่อนเมื่อทีมเปิดเกมรุก เพลย์เมกเกอร์ร่างจิ๋วจาก บีอีซี เทโรฯ ทำได้เยี่ยมทุกครั้งกับการเปลี่ยนสปีดบอล สร้างสรรค์เกมให้เพื่อนทะยานไปข้างหน้า ไม่ว่าจะด้านข้างหรือตรงกลาง อย่างไม่มีขาดตกบกพร่องตามมาตรฐานตัวเอง ประตูปิดกล่องช่วงท้ายเกมคือฉากจบที่เพอร์เฟ็คท์ของเขาในนัดนี้

ส่วน "กัปตันสารัช" คนนี้ไม่พูดถึงไม่ได้ครับ แม้จะอยู่ในสนามไม่ครบ 90 นาที แต่การโดนถอดออกไปนั่งพักตั้งแต่ครบชั่วโมงแรกของเกม บ่งบอกถึงความเป็น "หัวใจในแดนกลาง" ของทีมชุดนี้โดยแท้

การดึงจังหวะ การยืนตำแหน่ง และการเชื่อมเกมของกองกลาง เอสซีจี เมืองทองฯ คนนี้ คู่ควรกับคำว่า "มิดฟิลด์ตัวกลางที่ดีที่สุดของประเทศ" ชนิดไม่มีใครกล้าเถียง!

ด้านคู่แข่งอย่าง อินโดนีเซีย วันนี้เล่นลำบากครับ ผมเชื่อว่าทางเขาก็หนักใจเหมือนกันที่ต้องมาป๊ะกับเรา ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับคู่ต่อสู้ในรอบแรกที่พวกเขาเจอมา

การขึ้นเกมของขุนพลอิเหนาขาดๆเกินๆตลอด เสียบอลง่าย เลี้ยงผ่านผู้เล่นไทยแทบจะนับครั้งได้ บอลสั้นบอลยาวติดขัดไปหมด ไร้ไอเดียเข้าทำ กำลังใจหมดลงเรื่อยๆ เมื่อมาโดนลูกที่สามตั้งแต่ช่วงต้นครึ่งหลัง ก็แทบทำให้เกมนี้จบลงนับตั้งแต่วินาทีนั้น

ท้ายเกมก็เลยปลดปล่อยอารมณ์อึดอัดบ้าง ด้วยการเข้าบอลหนักใส่แข้งไทย โดยเฉพาะ "อาหมัด นูเฟียนดานี่" กองกลางเบอร์ 7 ของทีม ที่รอดใบเหลืองจากผู้ตัดสินชาวญี่ปุ่นจนจบเกมอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากอัดเข้าตรงเข่าและศีรษะของ "เจ้าแบ็ก-อาทิตย์ ดาวสว่าง" จนลงไปนอนกองถึงสองครั้งสองครา

เกมรับเป็นอีกจุดนึงที่เห็นแล้ว "ชื่นใจ" ครับ กับทัพช้างศึกชุดนี้ มิเสียแรงที่เฮดโค้ชเคยเป็นกองหลังชื่อดังของชาติมาก่อน ยืนตำแหน่งกันได้ดี แม้จะมีจังหวะผิดพลาดเล็กๆน้อยๆบ้าง ก็ยังช่วยกันซ้อน แก้ไขได้ทันท่วงทีทุกครั้ง

โดยเฉพาะ "นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม" แข้งขวัญใจสาวๆที่ได้โอกาสลงมาพิสูจน์ตัวเอง หลังจากถูกพักเหมือนเจ้าเจ-เจ้าตัง แล้วคนที่ได้เล่นแทนอย่าง "ทริสตอง โด" ดันฟอร์มกระฉูดแตก จนมีบางกระแสเรียกร้องให้ "เจ้าต้น" นั่งยาวๆจนจบทัวร์นาเม้นต์ไปเลยด้วยซ้ำ

แต่เกมนี้แข้งจากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด งัดฟอร์มเก่งออกมาได้ถูกเวลา ทำให้เห็นว่าตัวเขาไม่ได้ด้อยกว่าแบ็กขวาลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศสแม้แต่น้อย เติมเกมรุกและช่วยเกมรับได้ดี แถมยังสอดมาทำประตูที่สี่ของทีมอีกต่างหาก!

(เล่นดีก็ต้องชื่นชมครับ คราวที่แล้วแอบติเล็กน้อย จนแฟนคลับ "นฤต้น" บางคนถึงกับไม่พอใจ วันนี้ชมแล้วนะ แฮร่!!)

ซึ่งขณะที่ดูฟุตบอล ผมก็แอบเช็กความเห็นในโลกโซเชี่ยลอยู่เป็นพักๆ แน่นอนครับ โลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ "เจ้าทู-ชนานันท์ ป้อมบุปผา" กลายเป็น Topic ของแฟนบอลไทยไม่น้อย ว่าใช้โอกาสค่อนข้างเปลือง แถมบางความเห็นถึงกับบอกว่า "ขี้เกียจ" ไปนะ กลายเป็นตัวริมเส้นอย่าง "รุ่งรัฐ ภูมิจันทึก" กับ "นูรุล ศรียานเก็ม" ที่แย่งซีนไปเสียหมด โดยเฉพาะรายแรกที่วันนี้เหมาคนเดียวสองประตู

การยิงคนเดียว 4 ลูกตั้งแต่นัดเปิดสนามที่ถล่มลาวไป 6-0 มาถึงตอนนี้เขายังเพิ่มสกอร์ไม่ได้อีกเลย ย่อมหนีไม่พ้นเสียงวิจารณ์กับคนที่เล่นกองหน้าตัวเป้า ตรงนี้เป็นภาระของทีมงานโค้ช ที่ต้องแก้ไขปรับปรุงกันต่อไป ว่าจะทำอย่างไรให้ เจ้าทู กลับมาคมกริบอีกครั้ง ซึ่งหวังว่ามันจะเกิดขึ้นในนัดชิงฯได้ยิ่งดี

อีกประเด็นนึงที่ต้องชม ซึ่งผมก็ชมมาตลอดสำหรับทีมชาติไทยยุคใหม่ นั่นคือเรื่อง "การควบคุมอารมณ์" ที่เราไม่หือไม่อือ โดนเตะโดนอัดยังไงก็ไม่มีเอาคืนคู่แข่ง จุดนี้แหละครับที่แสดงถึงความเป็น "มืออาชีพ" และทำให้ฟุตบอลของเรา "พัฒนา" อย่างเห็นได้ชัด แถวบ้านผมเรียกแบบนี้ว่า "ถูกอบรมมาดี" ครับ ขอคารวะทั้งตัวเด็กและผู้ปกครอง(สต๊าฟฟ์โค้ช)จริงๆ

เหลืออีกนัดเดียว ในรอบชิงชนะเลิศกับ ทีมชาติเมียนมา วันนี้แอบซุ่มดูฟอร์มในนัดตัดเชือกกับเวียดนามแล้ว จุดเด่นอยู่ที่ความแข็งแกร่งทางร่างกายของนักเตะและการเล่นเกมโต้กลับที่มีประสิทธิภาพ

อาจจะเป็นรองทีมไทยเรื่องความสามารถเฉพาะตัวกับความหลากหลายในเกมรุกเท่านั้น แม้ไม่ใช่งานยาก แต่ก็ไม่ใช่งานง่ายแน่นอนสำหรับเรา

นัดชิงเหรียญทองในวันจันทร์นี้ จะเป็นบททดสอบสำคัญของ "ช้างศึก ยู23" ที่อนาคตข้างหน้าต้องก้าวไปเป็น "ช้างศึกชุดใหญ่" เต็มตัว ว่าจะ "เอาอยู่" หรือเปล่ากับสถานการณ์ที่ "ห้ามพลาด" เช่นนี้

รวมไปถึง อาจเป็น "ตัวชี้วัด" ด้วยว่า เราควรทิ้งอาเซียนไว้ข้างหลัง แล้วก้าวต่อไปให้ถึงระดับแนวหน้าของทวีปเอเชียอย่างจริงจังเสียที

หรือจะพอใจแค่ความสำเร็จนี้ แล้วต้องกลับไปเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งเหมือนเดิม

Keep walking Thailand ครับ

 

เรื่องโดย : "น้องเพชร"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook