เจาะปมลึก เหตุใด? เวียดนาม จึงอยากเอาชนะ ไทย ในโลกแห่งกีฬา
แฟนกีฬาชาวไทยหลายๆท่าน ที่ได้ติดตามชมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 28 ณ ประเทศสิงคโปร์
คงได้มีโอกาสเห็นสงครามระหว่างไทย และเวียดนาม ตลอดการแข่งขันทั้งในสนามและนอกสนาม
ไม่ว่าจะเป็นการขับเคี่ยวแย่งตำแหน่งเจ้าเหรียญทองของทั้งสองชาติ ,ความพ่ายแพ้ที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับ หรือกองเชียร์ที่โต้เถียงกันในโลกโซเชียล กลายเป็นข้อสงสัยที่ว่า เหตุใด ไทยกับเวียดนาม จึงเป็นเสมือนคู่ปรับในเวทีกีฬาแทบทุกชนิด
เช่นกรณีของ จุฑาธิป มณีพันธุ์ ในการแข่งขันจักรยาน โรดเรซ ที่ "น้องบีช" เบียด "เหงียน ทิ ทัต" นักกีฬาจากเวียดนาม เข้ามาเป็นอันดับที่ 1
แต่เขาก็ไม่ยอมและประท้วงว่าโดนจุฑาธิปกระแทก ซึ่งจังหวะในช่วงนั้นเป็นลักษณะเบียดแย่งในเกมกีฬา
ก่อนที่จะประท้วงสำเร็จ หรือกรณีเทควันโด ประเภทพุมเซ่ ที่เวียดนาม ร้องขอแข่งใหม่หลังไม่ได้รับความยุติธรรม สุดท้ายก็ได้แข่งใหม่แบบสมใจ
และที่เด่นชัดที่สุด คือ "กีฬาฟุตบอล" ที่สื่อมวลชนของเวียดนาม ดูจะให้ความสนใจทำข่าวทีมชาติไทยแบบเจาะลึกเสมือนเป็นชาติตัวเอง(ขณะข่าวคู่แข่งชาติอื่นมีน้อยมากเมื่อเทียบกับไทย) พร้อมประโคมข่าวหาวิธีหยุดไทยเช่นโน้นเช่นนี้
เช่นเดียวกับแฟนฟุตบอลของเขาที่มักจะโดนนักท่องโซเชียลของไทยด่าเป็นประจำว่าเป็นพวก "ขี้มโน" หรือแม้กระทั่ง นักร้องเซเลบ "ตวน ฮุง" ก็เดิมพันผลการแข่งขันด้วยการโกนศีรษะ หากแพ้ทีมไทย
สุดท้าย เวียดนามเผลอมองข้ามคู่แข่งในรอบรองชนะเลิศอย่าง เมียนมา ทำให้ตกรอบรองฯ ไปในที่สุด
นี่คือส่วนหนึ่งของสงครามในซีเกมส์หนนี้
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เขาอยากชนะไทยคงต้องหยิบภูมิหลังของเขามาพิจารณาต้องยอมรับว่าเวียดนามผ่านสงครามการสร้างชาติมาเยอะกว่าไทย ต้องเสียสละเลือดเนื้อให้กับความแตกต่างทางความคิด
ประกอบกับระบอบการปกครองแบบสังคมนิยม ที่ผู้นำของเขาแต่ละยุค ประกาศสร้างฝันในด้านต่างๆ เพื่อพัฒนาประเทศ จึงค่อยๆหล่อหลอมให้ชาวเวียดนาม มีความเป็นชาตินิยมมากขึ้นๆ
ผู้นำของเขาก็นำพาประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด ได้ตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน
จุดเริ่มต้นของความคลั่งในกีฬาเกิดขึ้นอย่างจริงๆจังๆ เมื่อ "ตรัน ฮู งาน" นักเทควันโดของเขาผงาดคว้าเหรียญเงินโอลิมปิกที่ซิดนีย์ ในปี 2000 เสมือนเป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า กีฬาของเวียดนาม ก็สู้กับคู่แข่งมหาอำนาจได้
หากแต่ความสำเร็จของเวียดนาม มีไทย ที่คอยแย่งซีนอยู่ตลอด ทำให้เมื่อคิดถึงเบอร์1 ของอาเซียนในวงการกีฬา ใครๆก็ต้องนึกถึงไทยก่อนเป็นลำดับแรก
มองย้อนกลับไป ในรอบสองทศวรรษที่ผ่านมา จะเห็นว่าไทยฝากรอยแค้นให้เวียดนามมานับไม่ถ้วน
- ซีเกมส์ 2003. ที่เวียดนามเป็นเจ้าภาพ แม้จะเป็นไปตามความคาดหวังของเวียดนามที่ได้เป็นเข้าเหรียญทอง. แต่กีฬาฟุตบอลที่เป็นกีฬาที่ชาวเวียดนามให้ความสำคัญมากที่สุด กลับแพ้ให้กับทัพนักเตะไทย ทำให้ความสำเร็จในครั้งนั้นของเวียดนามไม่สมบูรณ์แบบ
- โอลิมปิกเกมส์ 2008 "น้องสอง" บุตรี เผือดผ่อง เคยเอาชนะเวียดนามในรอบ 8 คนสุดท้ายในช่วงซัดเดนเดธ ก่อนที่บุตรี จะก้าวไปคว้าเหรียญเงินส่วนนักกีฬาเวียดนามคนนั้นไม่ได้เหรียญรางวัลใดๆ
- ผลงานในเอเชี่ยนเกมส์ 2006 2010 และ 2014 ที่ไทยทิ้งห่างเวียดนามในตารางเหรียญแบบไม่ติดฝุ่น
- ฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย 2014 ที่ไทยเอาขนะเวียดนามถึงถิ่น 2-1 พร้อมตีตั๋วชิงแชมป์โลกปาดหน้าพวกเขาไปแบบหน้าตาเฉย
- ฟุตบอลยู19 ชิงแชมป์เอเชีย 2014 ที่เวียดนามหวังเป็น ′บาร์เซโลน่าออฟอาเซียน′ ตกรอบแรกแบบไม่ได้ลุ้น ขณะที่ไทยและเมียนมา เพื่อนร่วมอาเซียน กลับทะลุรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้
สิ่งเหล่านี้จึงทำให้แฟนกีฬาเวียดนามคับแค้นใจอยู่พอสมควร ดังนั้น เมื่อพวกเขาเห็นโอกาสที่เวียดนามจะก้าวเป็นเบอร์หนึ่ง
ไม่ว่าจะกีฬาประเภทใด เขาก็เลือกวาดภาพฝันแบบสุดทาง อาทิเช่นในอดีต ทีมเซปักตะกร้อทีมหญิงเวียดนาม ล้มไทยในเอเชี่ยนเกมส์ 2006 ที่กาตาร์
หรือว่าจะเป็น ทีมฟุตบอลชุดใหญ่ คว้าแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2008 ด้วยการเอาชนะ "ทัพช้างศึก" แค่นี้เขาก็ภาคภูมิใจแบบสุดๆแล้ว
หรือ ล่าสุดอย่างกรณีของกีฬาฟุตบอลซีเกมส์ที่เขาออกสตาร์ทรอบแรกดีกว่าเราเล็กน้อย
หรือกรณีอย่างฟุตบอลยู 19 เมื่อปีที่แล้ว ที่เวียดนามชุด "บาร์ซ่าแห่งอาเซียน" โชว์ฟอร์มถล่มออสเตรเลีย 5-1 ในรอบคัดเลือก เพียงแค่นัดเดียว
ก็ทำให้เขาฝันไปไกลถึงระดับโลก เหตุผลดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่ง ที่เราจึงมักจะเห็นแฟนเวียดนามที่มีความฝัน แบบมโนเอง จนเกิดการตอบโต้ของคนไทยที่สะกิดให้กลับมามองความเป็นจริง ในโลกโซเชียล
ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ที่เขาจะมีความฝันที่จะล้มไทย และครองเบอร์1 อาเซียน ในด้านกีฬา นั่นเพราะความเป็นชาตินิยมที่หล่อหลอมพวกเขา ให้มองถึงการก้าวขึ้นมายืนในฐานะผู้นำบ้าง
ปัจจุบัน กีฬาหลายๆประเภทของเวียดนาม ก็เริ่มเเซงหน้าไทย ทั้ง ฟันดาบ, ยิมนาสติก, เรือพาย หรือแม้แต่ มวยสากลสมัครเล่น(หญิง) เวียดนามก็ทำให้เห็นแล้วว่าเขามีของดี
วันนี้ เราอาจจะยังนั่งหัวเราะเขา ที่พลาดท่าตกรอบรองฯฟุตบอลซีเกมส์และส่อจะแพ้ไทยในตารางเหรียญรางวัลซีเกมส์
แต่เพราะเลือกรักชาติของเวียดนามท่ามกลางระบบการปกครองและเศรษฐกิจที่หล่อหลอมพวกเขาให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
สักวันเขาจะกลับมา และ วันนี้ไทยเราเองก็ต้องพัฒนายิ่งขึ้น
และพึงคิดในหัวใจไว้เสมอว่า "อย่ายึดติดกับความสำเร็จในวันนี้"
เพื่อไม่ให้เขาเป็นฝ่ายหัวเราะเยาะเราคืนในอนาคตข้างหน้า!