มั่นคงในอาเซียนแล้ว.. ถึงเวลาประกาศศักดาในระดับทวีป! (เสียที)
ชัดเจนแจ่มแจ้งไปเรียบร้อย ประจักษ์สายตาทุกหย่อมหญ้า ว่า "แถวนี้ข้าคุม!" กับพลังหมากเตะอาเซียนตะลึงของ "ช้างศึก ยู23" !!
เป็นไปตามความคาดหมายของสื่อส่วนใหญ่ ทั้งบ้านเราและชาติในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ หลังครบ 90 นาทีที่สนามกีฬาแห่งชาติสิงคโปร์
ทีมชาติไทยคว้าเหรียญทองซีเกมส์สมัยที่ 15 ได้สำเร็จ ด้วยการอัด เมียนมา ไปเบาๆ 3-0 โดยได้ประตูในช่วงครึ่งเวลาหลังทั้งหมด
ก่อนเขี่ยบอล เชื่อว่าทีมชาติเมียนมาเขาก็รู้ศักยภาพตัวเองดีครับว่าเป็นรองเราเยอะ แต่ฟุตบอลลูกกลมๆอะไรก็เกิดขึ้นได้ เขาก็หวัง "ขอสักที" เหมือนกัน
เห็นได้จากช่วง 15 นาทีแรกของเกม ที่มาแบบ "จัดเต็ม" กล้าเปิดหน้าแลกกับเรา หันหน้าหาประตูได้ปุ๊บ แม้ระยะจะไกลแค่ไหน พี่แกก็ "ซัดทันที!" จับพลัดจับผลูตุงตาข่ายก็ดีไป ถ้าไม่เข้าก็ว่ากันใหม่
ซึ่งเมื่อลอง 2-3 หนแล้ว ยังไม่สัมฤทธิ์ผล ยุทธการ "ตีหัวเข้าบ้าน" ก็ต้องพับเก็บไป หันมา "รับแล้วโต้" แทน ตามแท็กติกที่วางไว้
เพื่อลดโอกาสเสี่ยงโดนทีมไทยทะลวงสกอร์ ซึ่งพวกเขาก็ทำได้ตามแผนจนจบ 45 นาทีแรก
แต่ถามว่าอึดอัดกับรูปเกมในครึ่งแรก ที่เราเจาะตาข่าย "กองทัพหงสา" ไม่ได้เสียทีบ้างมั้ย?
เรียนตามตรงตามความรู้สึกส่วนตัวของผม "ไม่เลยครับ" รูปเกมแบบนี้สิดี เราแทบจะปิดประตูแพ้ด้วยซ้ำ รอแค่เวลา "ปลดล็อก" ประตูแรกเท่านั้น
เริ่มครึ่งหลังพวกเขายังเล่นเหมือนเดิมคือ "ยิงไม่ได้ไม่เป็นไร ขอแค่ไม่เสีย และยื้อไว้ให้นานที่สุด"
แต่ก็อย่างที่ทราบกัน ประตูที่กองเชียร์ชาวสยามรอคอยก็บังเกิดขึ้นจนได้ จากลูกเตะมุม เป็น "ธนบูรณ์ เกษารัตน์" เก็บตกจังหวะสอง แปเน้นๆในกรอบเขตโทษเข้าไป
นี่ล่ะครับคือภาพที่ผมและแฟนบอลทั้งประเทศตั้งตาคอย!
พอขึ้นนำ คราวนี้เรายิ่ง "เล่นง่าย" เพราะเมียนมาจะเล่นแบบเดิมไม่ได้แล้ว จำเป็นต้องเปิดเกมแลกเพื่อทวงประตูคืน ซึ่งทีมไทยเราก็ไม่หวั่น จัดระเบียบเกมรับได้ดี กองหลังกับกองกลางต่างช่วยกันดักทางบอลได้หมด
เมื่อการบุกของเมียนมาล้มเหลว นั่นหมายถึงแดนหลังที่ลอยขึ้นมาย่อมเปิดช่องมากขึ้น จนเป็นที่มาของลูก 2 และ 3 ของเรานั่นเอง
การจ่ายตัด + ยกบอลข้ามแผงกองหลัง แล้วให้กองหน้าที่มีความเร็วใช้พื้นที่ว่างตรงนั้นทะลุไปจบสกอร์
อาจดูเป็นแผนเข้าทำง่ายๆของฟุตบอล แต่มันจะไม่ประสบผลสำเร็จเลย ถ้าไร้คำว่า "ทีมเวิร์ก" (ซึ่งจริงๆน่าได้ลูกสองหลายครั้งแล้ว ถ้า "เจ้าทู-ชนานันท์" ไม่พลาดในจังหวะหลุดไปล่อเป้า)
"ทีมเวิร์ก", "ไหวพริบ" และ "ความสามารถเฉพาะตัว" คือจุดเด่นของทีมชาติไทยชุดนี้โดยแท้!!
จบภารกิจที่ "กุนซือใหญ่" ซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ฝากฝังให้ "โค้ชโชค" โชคทวี พรหมรัตน์ คุมทัพแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก
ลงไปเล่นให้เต็มที่ ชนะรวดทุกนัด แล้วเอาเหรียญทองกลับบ้านอย่างสมบูรณ์แบบ Mission complete!! (แข่ง 7 นัด ชนะรวด ยิง 24 ประตู เสีย 1 ประตู)
ขอชื่นชมในตัวนักเตะทั้ง 20 คน รวมถึงทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ชทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการป้องกันแชมป์ครั้งนี้
พวกคุณทำให้คนไทยมีความสุข พวกคุณทำให้ "อาเซียน" สยบอยู่แทบเท้า พร้อมสถาปนา "ทีมชาติไทย" คือเบอร์ 1 ของภูมิภาคนี้อย่างแท้จริง(อีกครั้ง)
ไล่มาตั้งแต่แชมป์ซีเกมส์ 2013, แชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 จนกระทั่งแชมป์ซีเกมส์ 2015 นี่ยังไม่รวมถึงอันดับ 4 เอเชี่ยนเกมส์ ที่อินชอน เกาหลีใต้อีก
แต่อย่างที่ผมได้เอ่ยไปเมื่อวันก่อนครับว่า แม้เราจะยืนสง่าผ่าเผยในอาเซียน แต่ก็คงไร้ประโยชน์ใดๆ
ถ้าไม่อาจยึดหัวหาดทวีปเอเชีย ก่อนขึ้นไปปรากฏสายตาบนเวทีโลกให้ได้เสียที ซึ่งมันวนเป็นวัฏจักรนี้มาตลอด
อย่างไรก็ต้อง "พัฒนา" กันต่อไปครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงที่ทีมชาติทั้งชุดใหญ่ชุดเล็ก ขวัญกำลังใจเปี่ยมล้นเต็มสูบแบบนี้
"แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์มันไม่มาหาเรา มันอยู่ที่เดิม เราต้องก้าวไปข้างหน้าหามันเอง!"
ซึมซับความสำเร็จนี้ให้เต็มที่ ชื่นชมเหรียญทองนี้ให้เต็มตา อย่าลืมว่าวันนี้ (16 มิ.ย.) ยังมีอีกหนึ่งนัดสำคัญรออยู่
คราวนี้เป็นพี่ๆ "ช้างศึกชุดใหญ่" บ้าง กับฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ที่เราออกไปเยือน ทีมชาติไต้หวัน เริ่มคิกออฟ 18.30 น. ถ่ายทอดสดทางช่องไทยรัฐทีวี
ช่วยกันลุ้น ช่วยกันเชียร์ทัพนักเตะไทยกันต่อ เปิดหัวมาสวยๆกับ 3 แต้มแรกเหนือเวียดนามแล้ว นัดนี้ถ้าเก็บชัยได้อีก
จะเป็นการเริ่มต้นภารกิจที่ยอดเยี่ยม ก่อนเจอทีมเต็งหนึ่งของกลุ่มอย่าง "อิรัก" ต่อไป
"เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย" ครับ!!
เรื่องโดย : "น้องเพชร"
อัลบั้มภาพ 25 ภาพ