มีจุดสาหัส! "อันโตนิโอ" อาจจำใจต้องแขวนสตั๊ดหลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์

มีจุดสาหัส! "อันโตนิโอ" อาจจำใจต้องแขวนสตั๊ดหลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์

มีจุดสาหัส! "อันโตนิโอ" อาจจำใจต้องแขวนสตั๊ดหลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มิคาอิล อันโตนิโอ อาจถูกบังคับให้เลิกเล่นฟุตบอล หลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถ และได้รับความเสียหายที่ขาอย่างรุนแรง

เดลี เมล รายงานว่า โอกาสฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บของ อันโตนิโอ ได้รับการเปิดเผยแล้ว หลังจากที่กองหน้าของ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย "ขุนค้อน" ได้ยืนยันในแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ว่าแข้งวัย 34 ปีได้รับบาดเจ็บที่ขาส่วนล่าง
genucshw4aaqxdyเชื่อกันว่าอุบัติเหตุครั้งนี้ เกิดขึ้นในพื้นที่เอสเซ็กซ์ โดยตำรวจท้องถิ่นกำลังขอให้บันทึกภาพจากกล้องหน้ารถขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังสืบสวนการชนกันอย่างรุนแรงครั้งนี้ที่มีภาพพบรถยนต์เฟอร์รารีได้รับความเสียหายอย่างนักบริเวณด้านหน้าฝั่งขวา โดยหลังเกิดอุบัติเหตุ ยังพบว่านักเตะติดอยู่นานกว่า 45 นาที ขณะที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงพยายามช่วยเหลือแข้งรายนี้ออกจากรถ ซึ่งเวลานี้นักเตะมีสติและสามารถสื่อสารได้ และอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์

จากนั้น เวสต์แฮม ได้ออกมาเปิดเผยถึงอาการบาดเจ็บของ อันโตนิโอ โดย จิม ไวต์ นักข่าวของ talkSPORT เปิดเผยถึงระยะเวลาฟื้นตัวหลังจากกองหน้าขุนค้อนได้รับบาดเจ็บที่ขาข้างหนึ่ง

"ตอนนี้เขาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงที่ขาข้างหนึ่ง และคาดว่าจะต้องใช้เวลาพักฟื้นค่อนข้างนาน และจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 12 เดือนจึงจะทราบว่าเขาจะกลับมาเล่นฟุตบอลได้อีกครั้งหรือไม่"
gettyimages-2166241892"เช้านี้มีคนบอกผมว่า มิคาอิล เป็นนักสู้ เขาอยู่ในสภาพร่างกายที่แข็งแกร่งมาก เพราะเขาเป็นนักฟุตบอลระดับชั้นนำ นั่นอาจช่วยเขาได้ และอาจเป็นข้อได้เปรียบเล็กน้อยเมื่อต้องฟื้นตัว"

ขณะที่ เดอะ การ์เดียน อ้างว่านักเตะอาจต้องพักฟื้นอย่างน้อย 1 ปี ก่อนที่จะกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง นอกจากนี้ รายงานยังระบุด้วยว่า ยังมีความกังวลว่าผู้เล่นจะถูกบังคับให้เลิกเล่นฟุตบอลหรือไม่ เนื่องจากอาการบาดเจ็บของเขา

สำหรับ อันโตนิโอ ดาวเตะทีมชาติจาเมกา ย้ายจาก น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ มาร่วมทีม เวสต์แฮม ในปี 2015 และทำประตูไปแล้ว 68 ประตูจากการลงสนาม 268 นัดในลีกให้กับสโมสร

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook