"โค้ชหรั่ง" ชี้โอกาสนั่งนายกบอลริบหรี่-กังขารับข้อบังคับ+เลือกตั้งวันเดียวกัน!

"โค้ชหรั่ง" ชี้โอกาสนั่งนายกบอลริบหรี่-กังขารับข้อบังคับ+เลือกตั้งวันเดียวกัน!

"โค้ชหรั่ง" ชี้โอกาสนั่งนายกบอลริบหรี่-กังขารับข้อบังคับ+เลือกตั้งวันเดียวกัน!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เมื่อวันที่ 26 มกราคม ที่รัฐสภา "โค้ชหรั่ง" ดร.ชาญวิทย์ ผลชีวิน สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ในฐานะผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี “เสธ.โต” พล.ร.อ.สุราวุฒิ มหารมณ์ ประธานคณะกรรมการกลางการเลือกตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ซึ่งแต่งตั้งโดยสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ประกาศรับรอง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง และนายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ ให้เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลฯว่า ขึ้นอยู่กับมติของกรรมการกลางเลือกตั้ง ซึ่งตนไม่มีปัญหาพร้อมยอมรับ แต่จะถูกต้องตามข้อบังคับของสมาคมฟุตบอลฯ หรือไม่ต้องไปพิจารณาอีกที

ดร.ชาญวิทย์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ตัวเองมีข้อสังเกตว่าคุณสมบัติของสภากรรมการฯ ต้องให้เป็นไปตามข้อบังคับ 33 ของข้อบังคับสมาคมฟุตบอลฯ แต่คณะกรรมการกลางเลือกทำตามเฉพาะข้อ 33.1 ที่ตัดสิทธิ์ผู้สมัครที่มีอายุเกิน 75 ปี แต่ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับที่ 33.4 ที่กำหนดว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะต้องส่งใบสมัครไปที่สำนักงานเลขาธิการของสมาคมฯ ซึ่งอยากให้กรรมการกลางฯออกมาอธิบายเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจน

“ประเด็นนี้ ทราบว่านายธวัชชัย สัจจกุล และนายพินิจ สะสินิน 2 ผู้สมัครชิงตำแหน่งเตรียมยื่นประท้วงต่อคณะกรรมการกลาง ส่วนผมคงไม่ดำเนินการใดๆ แต่เชื่อว่าการประชุมสมาคมฟุตบอลฯ วันที่ 11 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งจะมีวาระรับรองข้อบังคับของสมาคมฯ ที่แก้ไขก่อนการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลฯนั้นจะมีปัญหาเกิดขึ้น อาทิ ความไม่โปร่งต่อการรับรองข้อบังคับที่กำหนดให้ทำในวันเดียวกันกับการลงมติเลือกนายกสมาคมฯ เพราะกติกาของการลงคะแนนนั้นยังไม่ชัดเจนว่าจะมีกระบวนการอย่างไร” อดีตเฮดโค้ชทีมชาติไทยกล่าว

โค้ชหรั่งกล่าวในตอนท้ายว่า สำหรับความมั่นใจในการลงชิงตำแหน่งครั้งนี้ ถือว่ามีความพร้อมในด้านความรู้เกี่ยวกับฟุตบอล แต่การลงคะแนนเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลฯ รอบนี้มีการเมืองเข้ามายุ่ง เห็นได้จากการคัดเลือกตัวแทนของดิวิชั่น 2 ที่ตัวแทน 30 เสียงไม่มีตัวแทนของฝ่ายสมาคมฟุตบอลฯ เข้ามาเป็นตัวแทนใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้งนายกสมาคมฯ เลย ดังนั้น ยอมรับว่ามีโอกาสน้อยที่จะได้รับเลือก แต่ก็จะยังสู้อย่างเต็มที่ แม้รู้ว่าสู้ไม่ได้ ก็จะสู้

“ตอนนี้การเมืองเล่นหนักเกินไป ไม่ใช่การกีฬาแล้ว เพราะการเมืองได้เข้ามามีอิทธิพลในวงการฟุตบอล แม้ผมจะชูนโยบายลดขัดแย้ง แต่ยังมีความพยายามให้ผมเข้าไปขัดแย้ง ทั้งนี้ผลจะออกมาอย่างไร จะโปร่งใสหรือไม่ ผมก็พร้อมยอมรับในผลที่จะเกิดขึ้น เหมือนกับนักฟุตบอลที่ต้องยอมรับในการตัดสินของกรรมการ แม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม” ดร.ชาญวิทย์กล่าวทิ้งท้าย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook