รู้เขารู้เรา! ผ่า 12 ทีมสุดท้าย โซนเอเชีย โอกาส "ช้างศึก" ฝ่าด่านหินไปบอลโลก

รู้เขารู้เรา! ผ่า 12 ทีมสุดท้าย โซนเอเชีย โอกาส "ช้างศึก" ฝ่าด่านหินไปบอลโลก

รู้เขารู้เรา! ผ่า 12 ทีมสุดท้าย โซนเอเชีย โอกาส "ช้างศึก" ฝ่าด่านหินไปบอลโลก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในที่สุดทัพ “ช้างศึก” ทีมฟุตบอลทีมชาติไทยชุดใหญ่ก็สามารถขยับอีกก้าวหนึ่งสู่ความฝันการไป “ฟุตบอลโลก 2018” รอบสุดท้าย

ที่ประเทศรัสเซีย ได้อีกหนึ่งก้าว ด้วยการทะลุผ่านเข้าสู่รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 12 ทีมสุดท้าย ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี

นับเป็นครั้งที่ 2 เท่านั้นที่ไทยสามารถผ่านเข้าสู่รอบคัดเลือก รอบสุดท้ายได้สำเร็จ โดยครั้งแรกนั้นคือในยุค “ดรีมทีม” ที่มี “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ธชตวัน ศรีปาน และ เทิดศักดิ์ ใจมั่น เมื่อฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก

ซึ่งครั้งนั้นไทยอยู่ร่วมกลุ่มเอ กับ ซาอุดีอาระเบีย, อิหร่าน, บาห์เรน และอิรัก โดยแข่งทั้งหมด 8 นัด เสมอ 4 นัด แพ้ 4 นัด มี 4 คะแนน จบด้วยการเป็นอันดับสุดท้ายของกลุ่ม


แต่ครั้งนี้ทีมชาติไทยมีนักเตะที่เรียกกันว่าดีที่สุดในรอบๆ หลายปีหลัง และดูมีความหวังมากที่สุด

นำโดย “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์เพลย์เมกเกอร์คนเก่งของทีม, “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน แบ๊กซ้ายระดับเอเชียของไทย, “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา กองหน้าเบอร์ 1 และ “ตอง” กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ปราการด่านสุดท้ายที่เชื่อมั่นได้ ทำให้ไทยโชว์ผลงานรอบคัดเลือกด้วยการไม่แพ้ใคร คว้าแชมป์กลุ่มเอฟได้สำเร็จ

เมื่อรวมกับแชมป์กลุ่มอีก 7 กลุ่มที่เหลือ และอันดับ 2 ที่ดีที่สุดอีก 4 ทีม ทำให้ตอนนี้ได้ทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบ 12 ทีมสุดท้ายครบเป็นที่เรียบร้อยแล้วจะไปเจาะลึกกันทีละทีม


เริ่มต้นที่แชมป์กลุ่มเอ “เหยี่ยวมรกต” ซาอุดีอาระเบีย ผ่านเข้ารอบด้วยสถิติชนะ 6 เสมอ 2 ไม่แพ้ใครเลย และทำประตูถล่มทลายถึง 28 ประตูด้วยกัน

โดยครึ่งหนึ่งเป็นฝีมือของ โมฮัมหมัด อัล ซาห์ลาวี กองหน้าจากทีมอัล นาเซอร์ และเป็นดาวซัลโวของรอบคัดเลือกเมื่อเทียบจากทั่วโลกอีกด้วย


ต่อมาคือแชมป์เอเชียทีมล่าสุด “ซอคเกอร์รูส์” ออสเตรเลีย แชมป์กลุ่มบี ที่เปิดหัวด้วยความพ่ายแพ้ แต่กลับมาชนะ 7 นัดรวด ทำได้รวม 29 ประตู เสียเพียง 4 ลูกเท่านั้น

ซึ่งทีมชุดนี้ยังมี เล่ เยดินัค กัปตันทีมคนเก่งจาก “ปราสาทเรือนแก้ว” คริสตัล พาเลซในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ และ ทิม เคฮิลล์ กองหน้าจอมเก๋าวัย 36 ปี ที่ยังเป็นที่พึ่งของทีมได้เสมอ กดไปถึง 8 ประตูในรอบคัดเลือกด้วยกัน


แชมป์กลุ่มซี กาตาร์ ที่ผ่านเข้ารอบมาด้วยสถิติ ชนะ 7 นัดรวด ก่อนจะแพ้ให้กับจีน ในนัดสุดท้าย ยิงได้ 29 ประตู เสีย 4 ประตู

ซึ่งผู้เล่นสำคัญคือ โมฮัมเหม็ด มูซ่า แบ๊กขวาจอมเก๋าวัย 30 ปี จากทีมเลคห์วิย่า ผู้เป็นกำลังสำคัญให้กับทีม ที่ทำได้ถึง 4 ประตูจากตำแหน่งกองหลัง


ต่อกันที่กลุ่มดี อิหร่าน เบอร์ 1 แห่งเอเชียในตอนนี้ ที่เคยผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาแล้วถึง 4 ครั้ง เป็นหนึ่งทีมที่ไม่แพ้ใครในรอบคัดเลือก ยิงได้ 26 เสีย 3 ประตู

ส่วนผู้เล่นสำคัญต้องยกให้ อัซคานห์เดจากาห์ กองกลางกัปตันทีมจาก อัล อาราบี กับเมห์ดี้ เตราบี และ ซาดาร์ อัซมูน 2 ดาวยิงที่เป็นดาวซัลโวของทีมในตอนนี้


มาถึง “ซามูไรบลู” ญี่ปุ่น แชมป์กลุ่มอี มาด้วยสถิติสวยหรู ชนะ 7 เสมอ 1 ยิงได้ 27 โดยที่ไม่เสียแม้แต่ประตูเดียว

ดาวเด่นของทีมชุดนี้คงหนีไม่พ้น เคซุเกะ ฮอนดะ กองกลางจากเอซี มิลาน ที่ซัดไป 5 ประตู บวกกับชินจิ โอกาซากิ ตัวรุกจากเลสเตอร์ ซิตี้ ที่ซัดไป 4 ประตู

นอกจากนี้ "ขุนพลแข้งซามูไรบลู" ยังไม่เคยพลาดตั๋วรอบสุดท้ายเลยตั้งแต่ปี 1998 ที่พวกเขาผ่านเข้ารอบเป็นครั้งแรก


อีกหนึ่งทีมที่ในรอบคัดเลือก ไม่เสียประตูให้คู่แข่งแม้แต่เกมเดียวก็คือ “โสมขาว” เกาหลีใต้ แชมป์กลุ่มจี ทีมที่ครองสถิติผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายได้มากที่สุด 8 ครั้งติดต่อกัน

โดยกำลังหลักของทีมชุดนี้คือ ซอน เฮืองมิน กองหน้าตัวเก่งจาก ทอตแน่ม ฮอตสเปอร์ส ที่แม้ว่าจะลงเล่นเพียง 4 นัด แต่ก็ซัดไปถึง 6 ประตู เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทีมชนะรวดทั้ง 7 เกม


กลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มเอช อุซเบกิสถาน แชมป์กลุ่ม ที่แพ้เพียงเกมเดียวให้กับเกาหลีเหนือ ในนัดแรก แต่หลังจากนั้นเอาชนะคู่แข่งได้ทั้งหมด 7 นัด ยิงไป 20 เสีย 7 ประตู

ผู้เล่นส่วนใหญ่ของอุซเบกิสถานนั้นเล่นอยู่ในประเทศตัวเอง โดยมี โอดิล อัคเมดอฟ กองกลางกัปตันทีมวัย 28 ปี ที่เล่นให้กับคูบาน กราสนอดาร์ ทีมจากลีกรัสเซีย เป็นกำลังหลัก


นอกจากนี้ยังมีรองแชมป์กลุ่มที่ดีที่สุดอีก 4 ทีม ทีมแรกมาจากกลุ่มเดียวกับไทยคือ กลุ่มเอฟ นั่นก็คือ อิรัก ทำผลงานในรอบคัดเลือกไม่แพ้ใคร ชนะ 3 เสมอ 3 ยิงได้ 13 เสียไป 6 ประตู

ซึ่งกำลังหลักของอิรักคงหนีไม่พ้น ยูห์นิส มาห์มูด กองหน้าจอมเก๋าที่ยิงไป 4 ประตูในรอบคัดเลือก นอกจากนี้ยัง "อัดนาน" ดาวเตะที่ค้าแข้งอยู่กับ อูดิเนเซ่ ในศึกกัลโช่ เซเรียอา อิตาลี


ต่อมาคือ ซีเรีย รองแชมป์จากกลุ่มอี ที่เก็บชัยชนะไปถึง 6 เกมในรอบที่ผ่านมา ส่วนนัดที่แพ้คือการแพ้ให้กับญี่ปุ่นแชมป์กลุ่ม

อย่างไรก็ตาม ซีเรียมีสถิติยิงประตูที่สูงถึง 26 ประตู โดยดาวซัลโวของทีมคือ โอมาร์ คิห์ริบินกองหน้าดาวรุ่งวัย 22 ปี ที่ซัดไปถึง 7 ประตูด้วยกัน


อีกหนึ่งทีมคือ “ยูเออี” สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อันดับ 2 จากกลุ่มเอ ที่ยิงถล่มทลายถึง 25 ประตูในรอบที่ผ่านมา ทำสถิติชนะ 5 เสมอ 2 แพ้เพียงเกมเดียว

ซึ่งต้องยกให้ อาเหม็ด คาห์ลิล กองหน้าวัยเพียง 24 ปี ที่ทำไปถึง 10 ประตูจาก 8 นัด และ โอมาร์ อับดุลราห์มาน เจ้าของฉายา “เมซุต โอซิล แห่งยูเออี”


ทีมสุดท้ายคือ จีน รองแชมป์กลุ่มซี เป็นทีมที่มีแนวรับยอดเยี่ยม เสียเพียงประตูเดียวจากทั้ง 8 เกม โดยชนะ 5 เสมอ 2 แพ้ 1 เกม

ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับ หวัง ต้าเล่ย นายทวารมือ 1 จากทีมซานตง ลู่เหนิง และ จาง หลินเผิง กองหลังสารพัดประโยชน์จากกว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ ที่ช่วยกันป้องกันประตูไว้ได้

ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนเอเชีย มีโควต้าสำหรับรอบสุดท้าย 4 ทีมครึ่งด้วยกัน โดยในรอบ 12 ทีมสุดท้าย จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ทีม

ซึ่งจะมีการจับสลากในวันที่ 12 เมษายน แข่งขันกันในระบบเหย้า-เยือน โดยหลังจากจบ 10 เกม ทีมแชมป์และทีมรองแชมป์ จะได้ตั๋วลุยรอบสุดท้ายที่รัสเซียทันที


ขณะที่อันดับ 3 ของทั้งสองกลุ่ม จะต้องเพลย์ออฟ เหย้า-เยือน เพื่อหาผู้ชนะ ไปเพลย์ออฟอีกครั้งกับทีมอันดับ 4 จากโซนคอนคาเคฟ (อเมริกาเหนือและอเมริกากลาง) เพื่อคว้าตั๋วใบสุดท้ายเพื่อไปลุยฟุตบอลโลกที่รัสเซียต่อไป

ทั้งนี้การจับสลากแบ่งกลุ่ม จะมีขึ้นวันที่ 12 เมษายน จะมีการแบ่งออกมาเป็น 6 โถ ตามอันดับโลกในปัจจุบัน ซึ่งจะมีการอัปเดตอีกครั้งในวันที่ 7 เมษายน ที่จะถึงนี้

แต่จากผลการแข่ขันนัดล่าสุดของแต่ละทีม จากแมตช์อย่างเป็นทางการของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้คาดการณ์ได้ว่าการแบ่งโถจะออกมาดังนี้

- โถ 1
อิหร่าน, ออสเตรเลีย

- โถ 2
เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น

- โถ 3
ซาอุดีอาระเบีย, อุซเบกิสถาน

- โถ 4
ยูเออี, จีน

- โถ 5
กาตาร์, อิรัก

- โถ 6
ซีเรีย, ไทย


หากมองกันโดยตรงแล้ว โอกาสของไทยนั้น การจะลุ้นเข้ารอบโดยอัตโนมัติคงถือเป็นเรื่องยาก เพราะ 4 ทีมใหญ่อย่าง อิหร่าน, ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ น่าจะจองตั๋วทั้ง 4 ใบอย่างแน่นอน

ดังนั้นโอกาสที่ไทยจะสามารถมองได้คือการคว้าอันดับ 3 ของกลุ่ม เพื่อหวังจะเพลย์ออฟต่อในรอบต่อไป ซึ่งจาก 2 โถแรก ไม่ว่าไทยเจอใครก็หนักทั้งสิ้น

แต่อย่างน้อยในอีก 3 โถที่เหลือ ถ้าสามารถเลือกได้ อีก 3 ทีมที่ไทยจะมีโอกาสเจอ แล้วพอมีลุ้น ทีมแรกคงให้ซาอุดีอาระเบีย เพราะพักหลังนั้นไทยไม่กลัวในการเจอกับทีมจากตะวันออกกลาง และดูจากตอนชิงแชมป์เอเชีย รุ่นยู-23 ก็นับว่าสู้ได้

ทีมต่อมาคือจีน เพราะไทยนั้นมีผลงานที่ดีเวลาเจอกับทีมชาติจีนในช่วงหลัง และสุดท้ายคงขอเป็นอิรัก เพราะจากรอบที่ผ่านมา ยังคงมองว่าไทยสามารถสู้กับอิรักได้อย่างไม่เป็นรองทั้งเหย้า-เยือน

ครั้งนี้ทีม “ช้างศึก” มีโอกาสลุ้นไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมากกว่าทุกครั้งจริงๆ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook