สกู๊ป : "ปืนใหญ่" ที่แท้จริง!
หากเปรียบเทียบการลุ้นหนีตกชั้นพรีเมียร์ลีก ในเวลานี้ ทั้ง ซันเดอร์แลนด์ และ นิวคาสเซิล คงไม่ต่างอะไรกับ "หมาจนตอก"
ทั้งสองทีมอยู่ในสถานการณ์หลังผิงฝา ต้อง "วิ่งสู้ฟัด" ในทุกๆ เกมที่เหลือให้เสมือนการเล่นเกมนัดชิงฟุตบอลถ้วย
คำว่า "แพ้" คำว่า "พลาด" คือสิ่งต้องห้ามที่ไม่ควรเกิดขึ้นเพื่อตัดแสงสว่างให้ริบหรี่กว่าเดิม
ในมุมของ อาร์เซนอล ก็เฉกเช่นเดียวกัน พวกเขาอาจจะไม่ได้อยู่ในเคสหนักที่ต้องดิ้นรนสู้เพื่อความอยู่รอด แต่ด้วยเป้าหมายที่ใหญ่กว่า มีแรงกดดันในระดับมหาศาล
อาร์แซน เวนเกอร์ และลูกทีมก็อยู่ในโมเมนตัมที่ต้องเน้นเก็บ 3 คะแนนไปที่ละเกม
ความคาดหวังจากแฟนบอล "เดอะ กันเนอร์ส" ที่อยากเห็นทีมรักกลับมาคว้าแชมป์ลีก ต้องบอกว่ายิ่งนานวันแรงปราถนายิ่งทวีความรุนแรง
ฤดูกาลนี้แรกๆ ก็ดูเหมือนจะเป็นโอกาสที่ดี เพราะปัจจัยหลายๆ อย่างดูจะเอื้ออำนวย บรรดาเต็งแชมป์รายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เชลซี, แมนฯ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล หรือ แมนฯ ซิตี้ ต่างฟอร์มออกทะเลไปหมด
อย่างไรก็ตาม "ปืนใหญ่" กลับไม่ได้อยู่ตำแหน่งที่ควรจะเป็น นับตั้งแต่เปลี่ยนปฎิทินเข้าสู่ปี 2016 พวกเขากลับฟอร์มตก ฟอร์มหล่นอย่างน่าใจหาย
กว่าจะรู้ตัวอีกทีเข้าสู่เดือนเมษายนก็โดนทั้ง เลสเตอร์ ซิตี้ และ สเปอร์ส ทำแต้มแซงไปหน้าตาเฉย
ด้วยแต้มที่ห่างพอสมควร โจทย์ของ อาร์เซนอล จึงไม่ได้อยู่แค่มือตัวเอง เพราะนอกจากจะพึ่งตัวเองให้ชนะให้มากที่สุดแล้ว ยังต้องภาวนาให้ 2 ทีมนำสะดุดด้วย
โดยเฉพาะ "จิ้งจอกสยาม" ที่ต้องมีแพ้ให้เห็น 2-3 เกมเป็นอย่างน้อย
หลังจากตกรอบเรียบวุธทั้ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ เอฟเอ คัพ ดูเหมือนลูกทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ จะกลับมามีสมาธิกับเกมลีกได้อย่างเต็มที่
2 เกมหลังสุดที่บุกไปเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน และเปิดบ้านล้างตา วัตฟอร์ด ทำให้ความหวังของทีมยังสามารถเดินหน้าได้ต่อไป
ที่สำคัญผลงานในสนามมันบ่งชี้ว่านี่คือ “ปืนใหญ่ที่แท้จริง”
นับตั้งแต่สลัดภาพลักษณ์อันน่าเบื่อ หรือ “บอริ่งอาร์เซนอล” ในยุค 90 ออกไป ช่วง 20 ปีที่ผ่านมาภายใต้การคุมทีมของกุนซือชาวฝรั่งเศส คือ “บิวตี้ฟุตบอล” ที่สวยงาม
บอลเท้าต่อเท้าที่แม่นยำ มูฟเม้น การเคลื่อนที่ การเข้าทำประตูที่หลากหลาย มันคือ “สไตล์” คือความเป็นตัวตนของ อาร์เซนอล ในปัจจุบัน
แต่ด้วยแท็กติกที่แปรเปลี่ยน หรือจะเป็นคุณภาพผู้เล่นที่ด้อยลง ทำให้ในหลายๆ ช่วงเวลาในบางฤดูกาล พวกเขาจึงดูหลุด ดูผิดแปลกไปจากเดิม
ทว่ากับ 2 เกมที่ผ่านมา ผมเห็นด้วยกับสาวก “เดอะ กันเนอร์ส” ส่วนใหญ่ว่านี้คือ “11ตัวจริง” ที่ดีที่สุดของทีมในฤดูกาลนี้
โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ เป็นดีลเซอร์ไพรซ์อีกครั้งของ เวนเกอร์ เพราะดาวเตะทีมชาติอียิปต์ สามารถปรับตัวได้ไว และช่วยสร้างสมดุลกับมาสู่ทีมอีกครั้ง
ด้วยความขยัน การเล่นแบบรู้หน้าที่ การเคลื่อนตัวที่ชาญฉลาด มันทำให้เพื่อเล่นง่าย การเข้าคู่กันกับ ฟรานซิส โกเกอแล็ง ก็ทำได้อย่างลงตัว
เกมเจอ วัตฟอร์ด เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ที่ อาร์เซนอล แทบจะพับสนามบุกฝ่ายเดียว ก็เป็นเพราะคู่มิดฟิลด์สามารถดักแย่งบอล ตัดบอล กลับมาได้ตลอด (2 คนรวมกัน 14 ครั้ง)
อเล็กซ์ อิโวบี้ คือดาวรุ่งที่ยอดเยี่ยม การเสี่ยงใช้งานของ อาร์แซน เวนเกอร์ คือการตัดสินใจถูกที่ถูกเวลา เพราะมันทำให้แนวรุกกลับมาเล่นได้อย่างไหลลื่น
การลงสนามของดาวรุ่งทีมชาติไนจีเรีย มีเอฟเฟ็กซ์ในเชิงบวกไปถึงตัว อเล็กซิส ซานเชซ ด้วย เพราะพ่อเลี้ยงจาก ชิลี ดูเหมือนจะเรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้นับตั้งแต่ถูกโยกมาเป็นปีกขวา
ขณะที่ แดนนี่ เวลเบ็ค นาทีนี้เขาคือกองหน้าตัวเป้าที่เหมาะสมกับระบบทีมมากที่สุด แม้จังหวะจบสกอร์จะปรับปรุง แต่ความเร็ว การครองบอล ไลน์การวิ่ง เขาทำได้ดีกว่า โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ชัดเจน
อย่างไรก็ตามผมไม่ค่อยจะเห็นด้วย กลับเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับการจัดตัวของ เวนเกอร์ โดยเฉพาะประเด็นของ “แก๊งค์ลูกรัก” ที่แฟนบอลสถาปนาให้กับ แรมซี่ย์, ชิรูด์ หรือแม้กระทั่ง วัลค็อตต์
ผมมองว่ามันมีปัจจัยเหล่านี้มันมีเหตุและผลที่มารองรับได้ อย่าง เอลเนนี่ เขาคือนักเตะใหม่ที่ต้องการการปรับตัว อยู่ดีๆ จะให้เสียบตัวจริงเลยมันก็เป็นเรื่องที่เสี่ยง
พื้นฐานเรื่องภาษา การสื่อสาร ระบบทีม มันคือปัญหาที่ผู้เล่นต่างถิ่นต้องเผชิญ อย่างในทีมเดียวกันก็เห็นๆ กันอยู่กับเคสของ กาเบรียล เปาลิสต้า
อย่าง แรมซี่ย์ เอง เวนเกอร์ ก็รู้ว่านาทีนี้ไม่ใช่มิดฟิลด์ตัวกลางที่ดีที่สุดของทีม เหตุที่ถูกจับไปเล่นปีกก็เพราะสู้ ซานติ กาซอร์ล่า ไม่ได้
แต่นับเฉพาะปีใหม่มา หากทีมจะเลือก แรมซี่ย์ มากกว่า เอลเนนี่ ก็คงไม่แปลกนัก เพราะอยู่กับทีมมานาน เข้าใจระบบทีม และสไตล์การเล่นของพรีเมียร์ลีกมากกว่า
เวลเบ็ค ก็เช่นกันเขาคือนักเตะที่เจ็บไปนานถึง 10 เดือนเต็มๆ การดันทุรังใช้งานแบบไม่บันยะบันยังอาจทำให้อาการเจ็บซ้ำขึ้นมาได้
ผลงานในสนามมันยืนยันทุกอย่างชัดเจน ตัว เวนเกอร์ เองก็เห็น ไม่งั้นตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ก็คงไม่ส่ง เวลเบ็ค ลงเป็นตัวจริงมาตลอด
ด้าน อิโวบี้ มันคือ “ปรากฎการณ์” เหมือนเช่นปีก่อนที่เราค้นพบ ฟรานซิส โกเกอแล็ง หากแข้งรายอื่นไม่เจ็บ ไม่ฟอร์มตก ก็คงไม่ได้โอกาสง่ายๆ
หลายคนรวมถึงตัวผมเองก็แอบเอาใจเชียร์ โจเอล แคมป์เบลล์ ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าตัวแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเท และมีผลงานอยู่ระดับที่น่าพอใจ
ที่ชัวร์คือเล่นเป็นงานกว่า อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน แต่หากเทียบกับ อิโวบี้ ในเรื่องของละเอียดและประสิทธิภาพในสนามก็ดูด้อยกว่านิดๆ
ที่อธิบายมาทั้งหมดไม่ได้จะขัดใจ หรือขัดความคิดของผู้อื่น แต่ผมมองว่า ณ เวลานี้แฟนบอลอย่างเราๆ ควรวางอดีตที่ไม่ดี ที่ไม่เห็นด้วยไว้ก่อน
อาร์เซนอล ต้องการกำลังใจ ต้องการแรงสนับสนุนในโค้งสุดท้าย แม้ความหวังมันจะยากระดับ “เข็นครกขึ้นภูเขา” แต่ตราบใดที่ยังไม่เป็นศูนย์ ก็คงต้องลุ้น ต้องสู้กันต่อไป
ภายใต้ 11 ตัวจริงที่ใช่ ฟอร์มการเล่นที่เป็น “อาร์เซนอลที่แท้จริง” ผมเชื่อว่าเราสามารถชนะได้ทุกทีมในเกมที่เหลือ ไม่เว้นแม้กระทั่งการบุกไปเยือนทีมฟอร์มดีอย่าง เวสต์ แฮม
ส่วนผลสุดท้ายจะ “แชมเปี้ยน”หรือ “แชมป์ว่าว” เราค่อยมากดดันเรื่องอนาคตของ เวนเกอร์ อีกที มันก็คงไม่สายเกินไป