การทะลุเข้าสู่รอบ 12 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย นอกจากจะสร้างความสุขให้กับคนไทยทั้งชาติแล้ว ยังเป็นการหวนคืนสู่เวทีลูกหนังระดับเอเชียอีกครั้ง ในทัวร์นาเมนต์ เอเอฟซี เอเชียน คัพ ที่ขุนพลลูกหนังแดนสยามห่างเหินมานานถึง 12 ปี
ครั้งสุดท้ายที่ทีมชาติไทย เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2007 ที่ไทยได้ร่วมเป็น 1 ใน 4 เจ้าภาพร่วม กับ เวียดนาม,อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย นับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ เอเชียนคัพ มีเจ้าภาพร่วมมากถึง 4 ชาติ
ทีมชาติไทยชุดดังกล่าว มีโค้ชหรั่ง ชาญวิทย์ ผลชีวิน เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน และ ธชตวัน ศรีปาน เป็นกัปตันทีม พร้อมด้วยนักเตะอย่าง ดัสกร ทองเหลา, เทิดศักดิ์ ใจมั่น, สินทวีชัย หทัยรัตนกุล, สุธี สุขสมกิจ และ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เฮดโค้ชทีมชาติคนปัจจุบัน รวมถึง สุรีย์ สุขะ แบ็กขวาตัวเก่ง โชว์ฟอร์มส่วนตัวได้โดดเด่น จนได้รับเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมประจำการแข่งขันอีกด้วย
น่าเสียดายที่ช้างศึก ต้องตกรอบแบ่งกลุ่ม ทั้งที่มี 4 คะแนนเท่ากับ ออสเตรเลีย รองแชมป์กลุ่ม แต่ผลต่างประตูได้เสียและเฮดทูเฮดเป็นรอง จึงได้เพียงอันดับ 3 ของกลุ่มตกรอบไป โดยผลงานของไทย สามารถเอาชนะโอมานได้ 2-0 และ ยันเสมอ อิรัก แชมป์กลุ่ม 1-1 ก่อนที่ปราชัยในเกมสุดท้ายกับ ออสเตรเลีย 4-0
ก่อนที่สุดท้าย ทีมชาติอิรัก จะสามารถหักด่านตัวเต็งมากมาย ทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ และโค่น ซาอุดิอาระเบีย คว้าแชมป์เอเชียไปครอง พร้อมกับการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของ ยูนิส มะห์มูด สตาร์ทีมชาติอิรัก ที่ซิวตำแหน่งดาวซัลโวร่วม และผู้เล่นทรงคุณค่าประจำทัวร์นาเมนต์ได้ทั้งสองรางวัล
หลังจากนั้นทีมชาติไทย ก็ไม่สามารถผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย เอเชียนคัพ ได้อีกเลย เนื่องจากทำผลงานรอบคัดเลือกได้อย่างย่ำแย่ โดยในรอบคัดเลือก เอเชียนคัพ 2011 ทีมชาติไทยคว้าอันดับ 3 ของกลุ่ม มีเพียง 6 คะแนน จาก 6 นัด ตกรอบไปอีกครั้ง
ครั้งต่อมาในการแข่งขัน เอเชียนคัพ 2015 รอบคัดเลือก ทีมชาติไทยในยุคผลัดใบที่มีแกนหลันเก่าอย่าง ภานุพงศ์ วงษา กัปตันทีม , ดัสกร ทองเหลา , ชลทิตย์ จันทคาม , พิชิตพงษ์ เฉยฉิว ก็ไม่สามารถผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายได้ โดยคราวนี้ช้างศึกไม่มีแม้แต่คะแนนเดียว จากการแพ้รวด 6 นัด รั้งบ๊วยของตาราง (ครั้งนั้นไทยอยู่ร่วมสายกับ อิหร่าน, คูเวต และ เลบานอน)
จนกระทั่งก้าวขึ้นมาของ ทีมชาติไทย เจเนอเรชั่นใหม่ ภายใต้การคุมบังเหียนของ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่เข้ามาสร้างทีมชุดใหม่ เน้นใช้ผู้เล่นดาวรุ่ง เริ่มสร้างทีมจากชุดอายุไม่เกิน 23 ปี แชมป์ซีเกมส์ 2013 จนต่อยอดมาถึงการคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 และคว้าอันดับ 4 การแข่งขันเอเชียนเกมส์ 2014 ก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวขึ้นมาเป็นเฮดโค้ชทีมชาติไทยชุดใหญ่ พร้อมกับพาช้างศึกชุดความหวังใหม่ ลงเล่นฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง (ที่เป็นรอบคัดเลือก เอเชียนคัพ 2019 ไปในตัวด้วย)
ส่วนผสมที่ลงตัวของนักเตะที่เล่นด้วยกันมานาน ระบบฟุตบอล รวมถึงกุนซือคนใหม่ ได้ปลุกช้างศึกตัวนี้ให้กลับมาสร้างผลงานกระหึ่มเอเชีย ในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสองนั้น ไทย อยู่ร่วมสาย F กับ อิรัก,เวียดนาม และ ไต้หวัน ส่วน อินโดนีเซีย นั้นถูกทางฟีฟ่าสั่งแบนไร้กำหนดจึงไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน
และทีมชาติไทยก็สามารถทำผลงานหักปากกาเซียน ด้วยการคว้าแชมป์กลุ่ม ด้วยผลงานการเก็บ 14 แต้มจาก 6 นัด ชนะ 4 เสมอ 2 ไม่แพ้ใครเลยแม้แต่เกมเดียว ตีตั๋วเข้าสู่ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสาม (รอบ 12 ทีมสุดท้าย) และได้สิทธิ์เข้าแข่งขัน เอเชียนคัพ 2019 แบบอัตโนมัติอีกด้วย
สำหรับฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย ที่จะแข่งขันที่ประเทศ สหรัฐเอมิเรตส์ ในปี 2019 นั้น จะเป็นครั้งแรกที่มีทีมเข้าร่วมการแข่งขันรอบสุดท้ายมากถึง 24 ทีม โดยตอนนี้มี 12 ทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายแล้ว นั่นคือแชมป์ของแต่ละกลุ่ม และ 4 ทีมรองแชมป์ที่มีผลงานดีที่สุด ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง
ส่วนอีก 12 ทีมที่เหลือ จะมีการคัดเลือกอีกครั้ง ตั้งแต่รอบเพลย์ออฟ ช่วงระหว่างวันที่ 2 มิ.ย. - 11 ต.ค. 2016 และรอบคัดเลือกรอบสาม ที่จะแข่งขันช่วงระหว่าง วันที่ 28 มีนาคม 2017 จนถึง 27 มีนาคม 2018 เพื่อหาตัวแทนเข้าสู่รอบสุดท้าย เอเอฟซี เอเชี่ยนคัพ 2019 ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เครดิต : fathailand.org