สกู๊ป : นิยายลูกหนัง.. แค่ 8 ปีจากลีกวันสู่แชมป์พรีเมียร์ลีก (โดย น้องเพชร)
แม้จะยังไม่จบซีซั่น 2015-16 อย่างเป็นทางการ แต่สำหรับตำแหน่ง "แชมป์" ถือว่า 100% แล้ว สำหรับ "จิ้งจอกสยาม" เลสเตอร์ ซิตี้ สิ้นสุดการรอคอยนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร 132 ปีเสียที!
หลังจากเมื่อคืนนี้ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ทีมรองจ่าฝูง ทำได้เพียงบุกไปเสมอ เชลซี แชมป์เก่า 2-2 ทำให้โปรแกรมที่เหลือ 2 นัด กับคะแนนตามหลัง 7 แต้ม ยังไงก็ไล่ เลสเตอร์ ไม่ทันแน่นอน
ลองย้อนไปดูอดีตในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาของทีมกันครับว่า "เดอะ ฟ็อกซ์" ผ่านอะไรมาบ้าง และที่จั่วหัวว่า "นิยายลูกหนัง" นั้นมันไม่เกินเลยจริงๆ
- ฤดูกาล 2004-08 วนเวียนในแชมเปี้ยนชิพ ก่อนร่วงสู่ลีกระดับ 3
หลังตกชั้นด้วยอันดับ 18 ในตารางพรีเมียร์ลีกซีซั่น 2003-04 เลสเตอร์ ซิตี้ ก็กลายเป็นทีม "ดาดๆ" ในลีกรองแดนผู้ดี จบซีซั่นด้วยอันดับต่ำลงเรื่อยๆทุกปี ไล่ตั้งแต่ 15, 16, 19 และมาถึงจุดพีกคืออันดับ 22 ร่วงตกชั้นสู่ลีก วัน เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2007-08
- ฤดูกาล 2008-09 กลับมาอย่างรวดเร็ว
แต่ตกชั้นไปลีก วัน แค่ปีเดียว ด้วยความที่เป็นทีมศักดินาใหญ่เหนือกว่าทีมอื่นๆร่วมลีกอย่างเห็นได้ชัด เลสเตอร์ก็กลับสู่แชมเปี้ยนชิพได้อย่างไม่ยากเย็น ด้วยการคว้าแชมป์ โกยไป 96 คะแนนจาก 46 นัด
- ฤดูกาล 2009-14 ยุคเปลี่ยนถ่ายโดยผู้บริหารชาวไทย และเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก
กลับสู่แชมเปี้ยนชิพ ผลงานของพลพรรคจิ้งจอกก็ยังร้อนแรง แม้จบด้วยอันดับ 5 ในซีซั่น 2009-10 แต่ก็ยังไม่สามารถผ่านเพลย์ออฟขึ้นสู่ลีกสูงสุดได้
จนในปี 2010 มีการเข้าซื้อกิจการโดยกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ของนายวิชัย ศรีวัฒนประภา ทางสโมสรขยายความจุของสนามเป็น 42,000 ที่นั่ง และเปลี่ยนชื่อเป็นคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม
ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์สโมสร ท่ามกลางเสียงต่อต้านจากแฟนบอลพันธุ์แท้ไม่น้อย ที่คิดว่ามหาเศรษฐีชาวไทยเข้ามาเทกโอเวอร์ด้วยเหตุผลทางธุรกิจ ไม่ใช่หวังพัฒนาด้านลูกหนังอย่างจริงจัง
กระทั่งฤดูกาล 2013–14 เลสเตอร์ ซิตี้ ในยุคของผู้จัดการทีมไนเจล เพียร์สัน ก็สามารถคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ พร้อมเลื่อนชั้นไปเล่นพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี
- ฤดูกาล 2014-15 บ๊วยในวันคริสต์มาสแต่ไม่ตกชั้นอย่างเหลือเชื่อ
ขึ้นมาบู๊บนลีกสูงสุดซีซั่นแรกในรอบทศวรรษ เลสเตอร์ประสบความยากลำบากทันที เมื่อจมอยู่ท้ายตารางนานถึง 3 ใน 4 ของซีซั่น แต่เพียร์สันปลุกเร้าลูกทีม จนชนะ 7 นัด จาก 9 นัดสุดท้าย เร่งสปีดจบซีซั่นด้วยอันดับ 14 รอดพ้นจากการตกชั้นอย่างเหลือเชื่อ
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทางสโมสรได้ตัดสินใจปลดเพียร์สันออกจากเก้าอี้ด้วยเหตุผลด้านความสัมพันธ์ภายใน ก่อนแต่งตั้ง เคลาดิโอ รานิเอรี่ กุนซือจอมเก๋าชาวอิตาเลียน อดีตเฮดโค้ชเชลซี เข้ามารับตำแหน่งด้วยสัญญา 3 ปี พร้อมเป้าหมาย "รอดตกชั้น" ในซีซั่น 2015-16 ให้ได้ ส่วนที่เหลือค่อยว่ากัน
- ฤดูกาล 2015-16 เทพนิยายบังเกิด!
สิ่งที่ไม่คาดฝัน แม้กระทั่งแฟนบอลเลสเตอร์เองได้เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ เมื่อขุนพลจิ้งจอกสีน้ำเงินออกสตาร์ทได้อย่างยอดเยี่ยม เกาะกลุ่มหัวตารางมาโดยตลอด จนกระทั่งยึดตำแหน่งจ่าฝูงได้สำเร็จฤดูกาล ท่ามกลางเสียงปรามาสว่า "เดี๋ยวก็แผ่ว" ของคนทั้งโลก
ตารางผลงานของ เลสเตอร์ ซิตี้ ในฟุตบอลลีกอังกฤษ ตั้งแต่ซีซั่น 2004-05 จนถึงล่าสุด 2015-16
แต่ปรากฏว่า รานิเอรี่ และบรรดาลูกทีมตัวเก่งอย่าง ริยาด มาห์เรซ (นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีจากการโหวตของเพื่อนนักเตะในลีก), เจมี่ วาร์ดี้ (นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีจากการโหวตของสมาคมผู้สื่อข่าว), เอ็นโกโล่ ก็องเต้, คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล ฯลฯ ต่างไม่มีไหวหวั่น รักษามาตรฐานและเก็บแต้มได้อย่างสม่ำเสมอ
ก่อนสุดท้ายจะซิวแชมป์มาครองได้สำเร็จ หลังจากเมื่อคืนนี้ในเกมลีกนัดที่ 36 สเปอร์ส รองจ่าฝูง ทำได้เพียงบุกไปเสมอแชมป์เก่า เชลซี 2-2 ทำให้โปรแกรมอีก 2 นัดที่เหลือ กับคะแนนที่ตามหลัง 7 แต้ม ยังไงก็ไล่จิ้งจอกสยามไม่ทันแน่นอน
"2 พ.ค. 2016" (ตามเวลาที่อังกฤษ) เป็นวันสำคัญที่ "เลสเตอร์ ซิตี้ ฟุตบอล คลับ" ต้องจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์สโมสร กับตำแหน่ง "แชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรก" หลังจากก่อตั้งสโมสรมาตั้งแต่ปี 1884 หรือ 132 ปีเต็มๆ!
ทั้งหมดทั้งปวง แม้มันจะก้าวกระโดดอย่างปาฏิหาริย์ แต่ด้วยฟอร์มการเล่นที่พวกคุณพิสูจน์ตัวเองมาตลอด 36 นัดที่ผ่านมา
ถ้วยแชมป์นี้ คือคุณค่าที่(พวก)คุณคู่ควรที่สุด Congrats Leicester City!!
เรื่องโดย "น้องเพชร"