7 เรื่องราวน่าสนใจของ "ยูโร 2016"
1. ยูโรกลับบ้าน
ฝรั่งเศส กลับมาเป็นเจ้าภาพของการแข่งขันอีกครั้งในฟุตบอลยูโร ครั้งที่ 15 และเป็นการเป็นเจ้าภาพครั้งที่ 3 ของพวกเขา หลังจากที่เป็นเจ้าภาพครั้งแรกในปี 1960 (ครั้งนั้นยังใช้ชื่อการแข่งขันว่า UEFA EUROPEAN NATIONS CUP อยู่เลย) และอีกครั้งที่พวกเขาได้เป็นเจ้าภาพคือฟุตบอลยูโร 1984 ทำให้ครั้งนี้เป็นเจ้าภาพครั้งที่ 3 และเป็นชาติที่ได้เป็นเจ้าภาพมากที่สุด
สถิติที่น่าสนใจคือฝรั่งเศส คว้าแชมป์รายการระดับเมเจอร์ได้ใน 2 ครั้งหลังสุดที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ คือฟุตบอลยูโร 1984 และฟุตบอลโลก 1998 โดยในปี ’84 เราได้เห็นความเกรียงไกรของ “นโปเลียนลูกหนัง” มิเชล พลาตินี่ ส่วนในปี ’98 เราได้ศิโรราบต่อศิลปินลูกหนัง ซีเนอดีน ซีดาน
ครั้งนี้ฝรั่งเศสจะคว้าแชมป์ได้หรือไม่? แล้วใครจะเป็นฮีโร่คนใหม่ของพวกเขา? ต้องจับตาให้ดีครับ
2. จาก 16 สู่ 24 ทีม
ฟุตบอลยูโรครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่มีการเพิ่มจำนวนทีมจากเดิม 16 เป็น 24 ทีม โดยเป็นนโยบายของ มิเชล พลาตินี่ ประธานยูฟ่าที่ต้องการเปิดโอกาสให้แต่ละชาติได้โอกาสเข้าร่วมรายการระดับนี้มากที่สุด โดยเฉพาะในชาติเล็กๆที่ไม่เคยได้รับโอกาสมาก่อน เช่นกันกับทีมใหญ่ๆที่จะได้ร่วมวงไพบูลย์กันครบๆไม่มีทีมใดหายหน้าหายตาไป (แต่เนเธอร์แลนด์ก็ดันตกรอบอีก!) แต่ก็ถูกมองว่าทำให้การแข่งขันลดความเร้าใจและ “ความขลัง" ลงไปเยอะเช่นกัน
แต่สุดท้ายถึงเวลาจริงๆด้วยบรรยากาศของมหกรรมฟุตบอลย่อมทำหน้าที่ของมันเอง และมอบความสุขให้พวกเราแน่นอน
3. ครั้งแรกของพวกเขา
จากการเพิ่มจำนวนทีมเป็น 24 ทีม ทำให้เป็นโอกาสของทีมที่ไม่เคยได้ลงเล่นฟุตบอลยูโรมาก่อน และทีมเหล่านี้คือน้องใหม่จริงๆ ได้แก่ ไอซ์แลนด์, แอลเบเนีย, ไอร์แลนด์เหนือ, สโลวะเกีย และ เวลส์ โดยเฉพาะ ไอซ์แลนด์ กับ แอลเบเนีย ที่ไม่เคยเล่นทัวร์นาเมนต์ใหญ่ที่ไหนมาก่อน
ฝากทีมน้องใหม่เหล่านี้ไว้ในอ้อมใจทุกท่านด้วยครับ
4. Hawk-Eye ตาเหยี่ยวผดุงคุณธรรม
เมื่อ 2 ปีก่อน ฟีฟ่าอนุมัติให้ใช้ระบบ Goal-line Technology เป็นครั้งแรกในฟุตบอลโลก 2014 สำหรับในฟุตบอลยูโร 2016 ยูฟ่าก็มีการอนุมัติระบบเดียวกัน แต่มาใช้ของ Hawk-Eye ระบบเดียวกับที่พรีเมียร์ลีก อังกฤษใช้ โดยจะมีการติดตั้งทั้ง 10 สนามที่ใช้ในการแข่งขัน
ระบบ Hawk-Eye เป็นระบบตรวจจับสำหรับกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เริ่มจากในกีฬาเทนนิสและรักบี้ ก่อนจะนำมาใช้ในฟุตบอล โดยเริ่มจาก พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2013/14 เป็นต้นมา และตอนนี้ บุนเดสลีกา, เลกา เซเรีย อา (กัลโช่), ลีก เอิง ก็เดินรอยตาม เรียกว่าได้รับความนิยมสูงในยุโรปนั่นเอง
5. สงครามสตั๊ด
มหกรรมฟุตบอลเป็นช่วง “นาทีทอง” ของแบรนด์ต่างๆที่จะเปิดตัวรองเท้ารุ่นใหม่ หรือคอลเล็คชั่นใหม่มาประชันกัน เรียกว่านอกเหนือจากสกอร์บอร์ดแล้ว คอบอลก็จับจ้องที่รองเท้าของซูเปอร์สตาร์ด้วยเช่นกัน ว่าเราจะต้องเสียเงินให้กับรองเท้ารุ่นไหนอีก (กินมาม่าก็ต้องยอม)
6. Super Star & Rising Star
ฟุตบอลยูโรครั้งนี้ถึงจะไม่มี “MSN” (Messi-Suarez-Neymar) แต่ก็มีนักเตะเกรด “ตัวอีดิต” (คนเล่นวินนิ่งคนเข้าใจ) มาโชว์ตัวหลายคน ได้แก่ คริสติอาโน่ โรนัลโด้, แกเร็ธ เบล, โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้, โธมัส มุลเลอร์ และซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับเกมการแข่งขันได้ตลอดเวลา
เรายังมีดาวดวงน้อยๆที่รอวันเปล่งประกายอยู่ กับเหล่านักเตะมากพรสวรรค์ที่จะได้โชว์เพลงแข้งกันตลอด 1 เดือนในเมืองน้ำหอม
จำชื่อและจับตานักเตะเหล่านี้ให้ดี แฮร์รี่ เคน (อังกฤษ) , เดเล อัลลี (อังกฤษ) , ปอล ป็อกบา (ฝรั่งเศส), เอ็นโกโล ก็องเต้ (ฝรั่งเศส), กรานิต ชาก้า (สวิตเซอร์แลนด์) , อัลบาโร โมราต้า (สเปน), วิลเลียม คาร์วัลโญ่ (โปรตุเกส), ปิโอเตอร์ ซีลินสกี้ (โปแลนด์) และนักเตะที่อายุมากที่มหัศจรรย์อย่าง เจมี่ วาร์ดี้ และ ดมิทรี ปาเยต์ ด้วย!
7. สติกเกอร์ Panini
สิ่งที่อยู่คู่กับมหกรรมฟุตบอลอีกอย่างคือ Panini Stickers สติกเกอร์ที่แฟนบอลจะได้รวบรวมเหล่านักเตะที่ลงแข่งขันไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งครั้งนี้ Panini ผู้ผลิตสติกเกอร์ชื่อดังก็ไม่พลาดที่จะจัดทำคอลเล็คชั่นยูโร 2016 ขึ้นมาเพื่อรองรับตรงนี้ ซึ่งมีการประเมินว่าหากจะสะสมให้ครบต้องใช้เงินมากถึง 374 ปอนด์ (19,000 บาท) แต่นักสะสมก็มีกลเม็ดเด็ดพรายแตกต่างกันไป
เรื่องโดย " ลูกแม่กิ่ง " (lookmeaking@hotmail.com)