วิลม็อต ยังมีงานต้องพิสูจน์
หลังจาก “แชมป์เก่า 2 สมัย” สเปน โชว์ฟอร์มสมราคาเป็นทีมแรกที่ยิงได้ถึง 3 ประตูในแมตช์เดียวเหนือตุรกี 3-0
ความต่าง อันแสดงให้เห็นถึงการ “ยืนระยะ” ที่ดีกว่าของทีมใหญ่เริ่มปรากฎอีกครั้งในแมตช์ เบลเยียม ถล่มไอร์แลนด์ ราบเป็นหน้ากลอง 3-0
เกมนี้ “กู้ชื่อ” ไม่เฉพาะเบลเยียมเท่านั้นครับ แต่ยังเป็นตัวกุนซือ มาร์ก วิลม็อต ที่เสีย “รังวัด” และเครดิตเริ่มเสื่อมลงเรื่อย ๆ เช่นกัน อย่างน้อยๆ เกมนี้กับการใช้ เควิน เดอ บรอย ในโพสิชั่นหมายเลข 10
และโยกกัปตันทีมที่สวมเบอร์ 10 จริง ๆ เอแดง อาซาร์ ไปฝั่งซ้ายพร้อมปรับนักเตะบางจุดนำโดยการถอด มารูยาน เฟลไลนี่ ที่เชื่องช้าในแดนกลางออกไป
ความสำเร็จนอกจากจะ “บ่งบอก” เป็นจำนวนประตูที่ทำได้แล้ว ในครึ่งแรกที่จบ 0-0 เบลเยียม ยังลดบทบาทในการเล่นบอลของไอร์แลนด์ลงได้อย่างน่าตกใจ
เด็ก ๆ มาร์ติน โอนีล ต่อบอลได้เพียง 188 ครั้งในครึ่งแรกอันเป็นตัวเลขน้อยที่สุดตลอดทัวร์นาเมนท์ของทุกทีม ก่อนที่จะพลาดเสียประตูในครึ่งหลังจากจังหวะบุกแล้วโต้กลับทั้ง 3 ประตู
สำหรับ 3 ประตูในเกมนี้ ผมมองว่า มี “เหตุ” มาจากความผิดพลาดของทีมไอร์แลนด์ที่สุดท้ายไป “ลงล็อก” และเข้าทางความเร็วในการโต้กลับของเด็ก ๆ ลูกทีม มาร์ก วิลม็อต พอดีดังที่ผมวิเคราะห์ไว้ตามด้านล่างครับ
ประตู 1-0 : แม้จะมีเสียงสะท้อนว่า เชย์น ลอง โดน “สกายคิก” เตะสูงโดย โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ จากจังหวะฟรีคิกของ โรเบิร์ต เบรดี้ จากฝั่งซ้ายที่สามารถเป็น “จุดโทษ” ให้ทัพยักษ์เขียวได้
ทว่า บอลไม่ได้ “โดนโต้” ทันทีจากจังหวะดังกล่าว เพราะผู้เล่นไอร์แลนด์ยังเป็นฝ่ายครองบอลก่อนจะเสียบอล และโดนโต้โดย เควิน เดอ บรอย ที่โซโล่ผ่าน เจมส์ แม็คคาร์ธี ไปเปิดให้ลูคาคูสังหาร
อันเป็นการ “จู่โจม” เกมรุกที่เร็วมาก ใช้เวลาหลัก “วินาที” ในจังหวะที่หัวหอกเอฟเวอร์ตัน กดซ้ายนั้นมีผู้เล่นเบลเยียมอยู่ 3 คนในกรอบเขตโทษ ขณะที่เกมรับไอร์แลนด์เหลือ 4 คน
ประตู 2-0 : ต้องยอมรับนะครับว่า การเล่น Group Combination ทางฝั่งซ้ายของตัวเอง หรือบริเวณแบ็คขวาเบลเยียมมีความผิดพลาด 2 ประการ
ข้อแรก คือ นักเตะไอร์แลนด์ “กรู” ไปเล่นบอลในที่แคบตรงนั้นถึง 4 คนจากที่ควรมีแค่ 2-3 คนนำโดย เวสลีย์ ฮูลาฮาน ก่อนที่เบรดี้จะจ่ายบอลพลาด ในบริเวณ pressing zone ที่นักเตะเบลเยียมก็มีประมาณ 4 คน
ข้อสอง ประเด็น คือ พอเสียบอลแล้วนักเตะไอริชไม่ pressing แต่กลับปล่อยให้นักเตะเบลเยียมเล่นง่ายจนบอลหลุดทะลุออกจาก “โซนเพรสซิ่ง” ดังกล่าวไปสร้างเกม และต่อบอลสวยงามนำไปสู่การโหม่ง 2-0 ของ แอ็กเซล วิตเซล
จุดนี้อาจจะพอ “คาดการณ์” ได้ว่า เรี่ยวแรง หรือพลังนักเตะยักษ์เขียวตอนบ่ายแดดจัดที่ มาร์กเซย์ เหลือไม่พอให้ไล่บี้ และ “ตอกย้ำ” คำพูดที่ มาร์ติน โอนีล ได้กล่าวไว้หลังเกมครับว่า นักเตะ “เสียบอล” ง่ายไป
ประตู 3-0 : ตัวสำรอง เจมส์ แม็คคลีน ได้บอลทางฝั่งซ้าย และลากไปถึงเส้นหลังทว่าโดน โธมัส มูนิเยร์ แย่งบอลง่าย ๆ แล้วโต้กลับเร็วให้ อาซาร์ กระชากหนีหาย เคียรัน คลาร์ก
ที่พุ่งสไลด์เข้ามาโดนบอลเหมือน “ซึบาสะ” เลี้ยงหลบในหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น ก่อนจะได้จังหวะ 2 ต่อ 1 ที่ไหลให้ลูคาคูยิงง่าย ๆ เป็นประตู 3-0 และชนะได้สวยงาม “ประเดิม” ยูโร 2016 ได้สำเร็จ
เมื่อผลออกมาเป็นเช่นนี้ ผมมอง “รูปแบบ” การเล่นของทีมปิศาจแดงยุโรปได้ว่า พวกเค้ายังคงมีปัญหาอยู่ในการสร้างเกมรุก “โดยตรง” ครึ่งแรกกับไอร์แลนด์ก็ไม่ได้ต่างกับแมตช์ อิตาลี เพราะเจาะไม่เข้า
ทว่าที่ต่าง คือ เราได้เห็นแล้วว่า นักเตะอย่าง เดอ บรอย และอาซาร์ มีความเร็วมากในการโต้กลับ ขณะที่ลูคาคู ก็ “คม” เพียงพอหน้าปากประตูหากได้โอกาส
จากนี้ไป วิลม็อต ต้อง “โชว์กึ๋น” เน้นระวังเกมรับ และอย่าบุกเพลิน หรือบุกไปเรื่อย แต่ควรรอโอกาส “โต้กลับ” หรือเปลี่ยนเกมจากรับเป็นรุกเร็วๆ โอกาสจะไปได้ไกลของทีมชุดนี้จะมีสูง เพราะศักยภาพนั้นมีเพียงพอครับ