อะไรก็ เป็นไปได้!
ถ้าพูดถึงฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2016 แล้ว ตัวเต็งในระดับต้นๆ ที่ถูกมองว่ามีโอกาสจะก้าวไปคว้าแชมป์ หนีไม่พ้น ทีมเจ้าภาพ "ตราไก่" ฝรั่งเศส , ทีมแชมป์โลก "อินทรีเหล็ก" เยอรมนี และ ทีมแชมป์เก่า "กระทิงดุ" สเปน
ในขณะที่ ทีมแดนมะกะโรนี "อิตาลี" ก็ถูกมองว่าเป็นอยู่ในข่ายที่มีสิทธิเบียดขึ้นไปคว้าแชมป์ได้เหมือนกัน ในระดับเดียวกับทีมดาวรุ่งฟอร์มแรงอย่าง "ปิศาจแดง" เบลเยียม
ส่วนทีมขวัญใจมหาชนอย่าง "สิงโตคำราม" อังกฤษ และทีมแดนขนมฝอยทอง "โปรตุเกส" ถูกคาดหวังว่า มีโอกาสเหมือนกันที่จะขยับไปเป็น "เจ้ายุโรป" แต่เป็นโอกาสที่ "ไม่มากมาย" สักเท่าไหร่แค่นั้นเอง
ทีมแชมป์เก่าแดนกระทิงดุ "สเปน" ออกสตาร์ทด้วยฟอร์มที่ยังดูแข็งแกร่งและแน่นอน ด้วยการคว้าชัยชนะใน 2 นัดแรก ผ่านเข้ารอบแบบสบาย ๆ แต่การพลาดท่าพ่ายต่อทีมตราหมากรุก "โครเอเชีย" ทำให้ในรอบน็อกเอาท์
ทีมของกุนซือบิเซนเต เดล บอสเก ต้องหล่นมาอยู่ในกลุ่มล่าง และสุดท้าย ก็พลาดท่าเสียที ร่วงตกรอบด้วยน้ำมือของ อิตาลี ที่พวกเขาเคยถล่มกระจุย 4-0 ในนัดชิงฯ เมื่อ 4 ปีก่อน
ทีมสิงโตคำราม "อังกฤษ" ของกุนซือรอย ฮอดจ์สัน ที่ทำผลงานขั้น "เทพ" ชนะรวดทั้ง 10 นัดในการลงเล่นรอบคัดเลือก ทว่า! พอมาแข่งขันกันในทัวร์นาเมนท์จริงๆ
ทีมสิงโตคำราม ก็มีสภาพเป็นแค่ "แมวมีหนวด" ถึงจะได้ผ่านเข้ารอบน็อกเอาท์ แต่ก็ด้วยสภาพฟอร์มการเล่นที่ดูไม่เป็น "บักนัด" (สับปะรด)
และก็ร่วงตกรอบแบบไม่เป็นท่าเมื่อพ่ายชาติที่มีประชากรทั้งประเทศแค่ 3 แสนเศษๆ อย่างไอซ์แลนด์ ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย แบบต้องเอา "ปี๊บ" คลุมหัวกลับเกาะบริเทนใหญ่กัน
ทีมแดนมะกะโรนี "อิตาลี" แม้จะมีฟอร์มที่เริ่ดหรูตั้งแต่รอบแรก เมื่อปราบทีมแรงกิงอันดับ 2 ของโลกอย่าง เบลเยียม แบบราบคาบในรอบแบ่งกลุ่ม และยังมาโชว์ฟอร์มระดับแชมป์ด้วยการปราบ "สเปน" ตกรอบไป ในรอบ 16 ทีม
ก็ยังไม่รอดสันดอน เมื่อมาพ่ายจุดโทษต่อทีมคู่ปรับอย่าง "อินทรีเหล็ก" เยอรมนี ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย
ทีมตัวเต็ง และพวกเกือบเต็ง ตั้งแต่ก่อนทัวร์นาเมนท์ยังไม่เริ่มขึ้น จึงเหลือเพียงแค่ ฝรั่งเศส , เยอรมนี และ โปรตุเกส
ส่วนทีม "มังกรแดง" เวลส์ ของกุนซือคริส โคลเมน คืออีกทีมในรอบตัดเชือก ที่มาแบบ "พลิกความคาดหมาย" อย่างที่สุด
ทีมมังกรแดง โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด ในนัดโค่น เบลเยียม ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งน่าสนใจมากว่า พวกเขายังจะทำในแบบนั้นได้อีกมั้ยในรอบตัดเชือก ในเมื่อต้องขาดผู้เล่นหลักอย่าง เบน เดวีส กับ อารอน แรมซีย์ ที่ติดโทษแบน
ทีมแชมป์โลก "อินทรีเหล็ก" เยอรมนี ของกุนซือจอมจก "โยอาคิม เลิฟ" แสดงให้เห็นถึงฟอร์มระดับมาตรฐานของพวกเขา ในรอบ 16 ทีมที่ต้อนตือ สโลวะเกีย ขาดลอย 3-0
และยังสานงานระดับ "มาสเตอร์พีซ" ต่อเนื่อง ด้วยการเขี่ยทีมฟอร์มจัดจ้านอย่าง อิตาลี ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย
แต่! ปัญหาของกุนซือเลิฟ ก็คือ ในรอบตัดเชือกกับทีมเจ้าภาพ การขาด 3 ผู้เล่นหลักอย่าง มัทส์ ฮุมเมิลส์ (โดนแบน) , มาริโอ โกเมซ (เจ็บกล้ามเนื้อต้นขา)
และ ซามี เคดิรา (เจ็บหัวเข่า) จะยังทำให้ทีมของเขา สร้างผลงานดีได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่
ขณะเดียวกัน ทีมเจ้าภาพ "ตราไก่" ฝรั่งเศส ของกุนซือดิดิเยร์ เดสช็องป์ส ที่ฟอร์มดูไม่สวยหรู แต่ก็ผ่านรอบแบ่งกลุ่ม และรอบ 16 ทีมสุดท้ายมาจนได้ ก่อนจะมาโชว์ฟอร์มเหี้ยม
ถล่มทีมจอมพลิกล็อกรายใหม่อย่าง ไอซ์แลนด์ 5-2 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย อันดูเหมือนจะเป็นการเพิ่มความมั่นอกมั่นใจให้กุนซือ "ดิดี" และลูกทีม ในการไล่ล่าแชมป์ยุโรปในบ้านตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนทีมแดนขนมฝอยทอง "โปรตุเกส" ของกุนซือแฟร์นันโด ซานโตส ที่ทำท่าไม่ดีมาตั้งแต่รอบคัดเลือก พอผ่านเข้ามา ก็ยังดู "ไม่ได้เรื่อง" ในรอบแบ่งกลุ่ม ที่เข้ารอบมาแบบเสมอทั้ง 3 นัด ก่อนจะมาชนะ โครเอเชีย แบบตัวเองยังไงในรอบ 16 ทีม
และเอาชนะในการดวลจุดโทษเหนือ โปแลนด์ ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย
ไม่มีนัดไหนเลยด้วยซ้ำไปที่ ทีมแดนฝอยทอง โชว์ฟอร์มจนได้รับคำ "ชื่นชม" จากบรรดาผู้สัดทัดกรณี และไม่สันทัดกรณีทั้งหลายทั้งปวง
แต่! ทีมอย่างนี้นี่แหละน่าสนใจนัก เพราะจะว่าไปแล้ว พวกเขาก็ยังมี "ของ" ที่มีคุณภาพอย่าง "คริสติอาโน โรนัลโด" ที่ยังดูเหมือนจะไม่ได้เล่นในฟอร์มที่ "ดีที่สุด" ของตัวเองแต่อย่างใด
ถ้าเกิด โรนัลโด ดันมาฟอร์มเข้าฝักแบบทันเวลาใน 2 นัดสุดท้าย ทีมแดนฝอยทอง อาจจะทำ "เซอร์ไพรส์" ให้แฟนๆ ได้เห็นก็เป็นได้
ในศึกยูโร 1988 ทีมแดนกังหันลม "เนเธอร์แลนด์" เริ่มต้นด้วยการแพ้ต่อ รัสเซีย 0-1 ในนัดเปิดสนาม แต่หลังจากได้ "ศูนย์หน้าพรายกระซิบ" มาร์โก ฟาน บาสเทน ทำแฮททริกนัดเชือด อังกฤษ 3-1
พวกเขาก็เดินหน้าสู่ความสำเร็จ ด้วยประตูชัยของดาวยิงพรายกระซิบ ที่ถีบเจ้าภาพเยอรมนีตะวันตก ในรอบรองฯ ตามด้วยลูกยิง "ใบไม้ร่วง" ในนัดชิงฯ ที่ช่วยทีมกังหันลม ล้างแค่ รัสเซีย ด้วยสกอร์ 2-0 และครองแชมป์ไปในครานั้น
หรือหากย้อนไปในศึกเวิลด์คัพ 1982 ทีมแดนมะกะโรนี "อิตาลี" มีศูนย์หน้าชื่อกระฉ่อนอย่าง "เปาโล รอสซี" ที่เพิ่งพ้นโทษแบนจากข้อหาล้มบอล เป็นตัวชูโรง
แต่พวกเขาลงเล่นรอบแบ่งกลุ่มด้วยฟอร์มไม่เอาอ่าว เสมอทั้ง 3 นัด เปาโล รอสซี เหมือนไม่มีส่วนร่วมอะไรเลย แต่ทว่า
หลังทำแฮททริกในเกมช็อกโลก ล้มเต็งหามอย่าง บราซิล ได้ 3-2 รอสซี ก็ยิงต่อเนื่องทุกนัด จากนั้น จน อิตาลี ครองแชมป์โลก พร้อมทั้งเขา ก้าวไปเป็นดาวซัลโว
โปรตุเกส ยังไม่ชนะใครเลยในการเล่น 90 นาที ตลอดทัวร์นาเมนท์ ยูโร 2016 ในขณะที่ คริสติอาโน โรนัลโด อาจจะกำลังมองหาฟอร์ม "พีค" ของเขา ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
และบรรจบพอดีกับการเดินหน้าก้าวไปเป็น "แชมป์" ระดับ "เมเจอร์" หนแรกก็เป็นได้ ไม่เชื่อ! ก็จงติดตามกันต่อไปครับ
คอลัมน์ ซอยสามัคคีครับ