วันที่ "มังกร" ไม่เต็มสูบ
สำหรับ 4 ทีมสุดท้ายที่ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ คงไม่มีใครที่จะกล้าปฎิเสธว่า เวลส์ คือทีมเต็งบ๊วย ที่มีภาษีน้อยที่สุด
เปรียบเทียบชื่อชั้นกับอีก 3 ทีม ทั้งคู่แข่งในรอบต่อไปอย่าง โปรตุเกส หรือจะเป็น เยอรมัน และ ฝรั่งเศส พวกเขาก็ดูด้อยกว่าแทบทุกกระบวนท่า
อย่างไรก็ตามตลอด 5 เกมที่ผ่านมา ทีม "มังกรแดง" พิสูจน์ให้เห็นแล้วพวกเขาไม่ธรรมดา เป็นทีม "มีของ" ที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับคำว่า "ม้ามืด"
ลูกทีมของ คริส โคลแมน มีผลงานที่น่าประทับใจ ภาพของ "สปิริต" ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ถูกแสดงออกมาให้เห็นในทุกๆ แมตช์การแข่งขัน
แฟนบอลหลายคนไม่ใช่แค่ในไทย อยากเห็นตำนานบทใหม่เกิดขึ้นอีกครั้ง หลังมีคนมโนว่ามันอาจถูกล็อกไว้ให้เกิดขึ้นในทุกๆ 12 ปีของศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป
จาก "เทพนิยายเดนส์" ที่เป็นจุดเริ่มต้นในปี 1992 ล่วงเลยมาถึง "เทพนิยายกรีก" ในปี 2004 แล้วทำไม "เทพนิยายมังกรแดง" จะเกิดขึ้นบ้างไม่ได้?
เส้นทางสู่แชมป์ก็ดูจะเป็นใจไม่น้อย เพราะ ยูโร 2016 หนนี้ บรรดาทีมยักษ์ใหญ่ ทีมเต็งแชมป์ ต่างไปตัดกันเองในสายล่าง
การโคจรมาเจอกับ โปรตุเกส ก็เป็นคู่ต่อกรที่ดีกว่าการไปเจอกับ เยอรมัน และ ฝรั่งเศส เป็นไหนๆ
ทีม "ฝอยทอง" ชื่อชั้นอาจจะดี แถมมี คริสติอาโน่ โรนัลโด้ เป็นตัวชูโร ทว่าผลงานตั้งแต่นัดแรกจนถึงเกมล่าสุด เรียกได้ว่า "กระท่อนกระแท่น" สุดๆ
ลูกทีมของ เฟร์นานโด ซานโต๊ส ยังเอาชนะใครใน 90 นาทีไม่ได้เลย ฟอร์มของ "ซีอาร์7" ก็เดี่ยวดีเดี่ยวร้าย ยังพึ่งพาอะไรไม่ได้มาก
ผิดกับเพื่อนร่วมทีม เรอัล มาดริด อย่าง แกเร็ธ เบล ที่ฉายแสงความเป็นซุปตาร์ เป็นคีย์แมนสำคัญที่ เวลส์ ไม่สามารถจะขาดได้เลย
อย่างไรก็ตามอย่างที่ว่าไว้ข้างต้น เวลส์ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาไม่ใช่ทีม “วันแมนโชว์” ที่ต้องอาศัยฝีเท้าของดาวเตะพญาวานรแต่เพียงอย่างเดียว
นักเตะเกรดรองของทีมหลายคนทำผลงานได้ดี ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งที่ผ่านมา เวลส์ ถือว่าโชคดีมากๆ ที่บรรดาตัวหลักสามารถลงสนามได้อย่างครบครัน
อย่างไรก็ตามเกมในรอบรองชนะเลิศ จะเป็นนัดแรกที่ “มังกรแดง” ตัวนี้ไม่เต็มสูบ เพราะจะหมดสิทธิ์ใช้งานทั้ง อารอน แรมซี่ย์ และ เบน เดวี่ส์ ที่ติดโทษแบนทั้งคู่
ผลงานของ แรมซี่ย์ ในรายการนี้ ต้องบอกว่า “เด่น” ไม่แพ้ แกเร็ธ เบล เลย เผลอๆ วัดจากสถิติอาจจะดูดีกว่าดาวเตะจาก “ราชันชุดขาว” ด้วยซ้ำ
เทพม้วนของ อาร์เซนอล ลงตัวมากๆ กับแผน 5-3-2 ของ คริส โคลแมน ที่ระบบกองกลางสามเหลี่ยมเจ้าตัวจะยืนอยู่สูงกว่าทาง โจ เลดลี่ย์ และ โจ อัลเลน
แรมซี่ย์ เป็นนักเตะประเภทบ้าพลัง วิ่งไม่มีหมด และมีจุดเด่นอยู่ที่การหาตำแหน่ง ที่มักจะไปอยู่แบบถูกที่ถูกเวลาอยู่เสมอ
ซึ่งจากจุดนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ที่ดาวเตะวัย 25 ปีจะทำไปแล้ว 1 ประตูกับอีก 4 แอสซิสต์ และเป็น “ตัวจ่าย” ที่ดีที่สุดของ ยูโร อยู่ในเวลานี้
การขาดหายไปของ แรมซี่ย์ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ที่แน่ๆ แท็กติกของ เวลส์ น่าจะไม่สมบูรณ์เหมือนแต่ก่อน บอลแถวสอง รวมถึงการสอดทะลุเข้าไปในเขตโทษน่าจะขาดหายไปเยอะ
โจนาธาน วิลเลี่ยมส์ ที่สไตล์การเล่นใกล้เคียง น่าจะทำหน้าที่แทนได้ในระดับหนึ่ง ทว่าเรื่องคุณภาพ ประสิทธิภาพ เมื่อมาเทียบกับวันที่ แรมซี่ย์ ท็อปฟอร์ม ต้องบอกว่ายังห่างกันอีกหลายขุม
อีกหนึ่งทางเลือกที่มีลุ้นไม่น้อยก็คือ เดฟ เอ็ดเวิร์ดส์ กองกลางตัวรับของ วูลฟ์แฮมป์ตัน ที่ได้เป็นตัวจริงนัดแรก หากทีมอยากจะเน้นเกมรับให้รัดกุมเจ้าตัวก็อาจจะได้อยู่ในไลน์อัพ 11 ตัวแรกอีกครั้ง
ในรายของ เบน เดวี่ส์ อาจจะถูกพูดถึงน้อยกว่า แรมซี่ย์ ทว่าเรื่องของความสำคัญแทบจะไม่ต่างกันเลย ในบทบาทเซนเตอร์ฮาล์ฟเจ้าตัวทำได้ดีไม่แพ้แบ็กซ้ายที่เป็นตำแหน่งถนัด
พูดกันแบบไม่อวยกองหลัง 3 ตัวของ เวลส์ ในแง่ของเกมรับ เดวี่ส์ ถือว่าแน่นอนกว่า แอชลี่ย์ วิลเลี่ยมส์ ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะการอ่านเกมที่มีสถิติตัดบอลไปแล้ว 17 ครั้ง มากที่สุดในทีม
ตลอด 5 เกมที่ผ่านมา เวลส์ เล่นด้วยระบบ 3 เซนเตอร์ฮาล์ฟมาตลอด โดยทั้ง เจมส์ เชสเตอร์, แอชลี่ย์ วิลเลี่ยมส์ และ เบน เดวี่ส์ ก็ลงเล่นครบ 450 นาทีมาตลอด
พูดง่ายๆ ว่ายังไม่มีกองหลังรายอื่นๆ เลยที่ได้โอกาสเข้ามามีส่วนร่วมกับแผงเกมรับตรงนี้ ซึ่งน่ากังวลไม่น้อยว่าเรื่องของทีมเวิร์กจะมีผลกระทบกับทีมมากน้อยแค่ไหน
การคาดเดาเบื้องต้นหากวัดกันที่ตำแหน่งต่อตำแหน่ง เจมส์ คอลลินส์ กองหลังตัวเก๋าวัย 32 ทีมมีโอกาสที่จะได้รับโอกาสลงสนาม
หากกองหลังจาก เวสต์แฮม ได้ลงสนาม ข้อดีคือเรื่องของลูกกลางอากาศน่าจะช่วยทีมได้เยอะ แต่ก็น่าห่วงในเรื่องของความคล่องตัวที่ดูจะโรยราไปเยอะ
อีกช้อยส์ที่น่าสนใจและ คริส โคลแมน เคยลองมาแล้วทั้งในรอบคัดเลือกและเกมอุ่นเครื่องก็คือการฮุบ คริส กันเตอร์ มาเล่นเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟ และให้ แจ๊ซซ์ ริชาร์ดส์ มาเป็นวิงแบ็กขวาแทน
ตรงนี้น่าจะมีโอกาสไม่น้อย เพราะ เวลส์ ต้องการเซนเตอร์ฮาล์ฟที่ความคล่องตัวสูงไว้รับมือเหล่าตัวรุกพระกาฬของ โปรตุเกส ทั้ง นานี่ และ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ ซึ่งตรงนี้ กันเตอร์ ถือว่าตอบโจทย์ได้มากกว่าทาง คอลลินส์
งานนี้ก็คงต้องเดาใจ คริส โคลแมน จะรับมือกับปัญหาทั้ง 2 จุดอย่างไร จะให้ทีมเล่นแบบไหน แต่ที่แน่ๆ การตัดสินใจหนนี้ส่งผลกระทบเต็มๆ ต่อรูปเกมของทีมอย่างแน่นอน
งานนี้ต้องรอลุ้นกันในเกมที่ ปาร์ค โอลิมปิค ลียง ว่าในวันที่ “มังกร” ไม่เต็มสูบ พวกเขายังมีดีพอที่จะสร้าง “ปาฏิหาริย์” ได้อีกครั้งหรือไม่