สกู๊ป : "ยอดกุนซือยูโร 2016"
พูดถึงฟุตบอลยุคปัจจุบันปฎิเสธได้ยากยิ่งว่าระบบการเล่น 4-2-3-1 หรือ 4-3-3 คือแม่แบบที่ทีมส่วนใหญ่ทั่วทุกมุมโลกกำลังนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย
ทว่าใน ยูโร 2016 หนนี้กลับเป็นอะไรที่ต่างออกไป คริส โคลแมน และ อันโตนิโอ คอนเต้ รีบูทแผน 5-3-2 กลับมาใช้จนได้รับคำชมอย่างล้นหลาม
ซึ่งคงจะไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจนัก หากเราจะหายอดผู้จัดการทีมสักคนในรายการนี้ ชื่อของ 2 หน่อจาก เวลส์ และ อิตาลี น่าจะถูกเอ่ยถึงเป็นลำดับแรกๆ
อย่างไรก็ตามในมุมมองส่วนตัวของผมเอง ผมกลับชื่นชมและคิดต่างว่า เฟร์นานโด ซานโต๊ส คือกุนซือที่ดีที่สุดในทัวร์นาเมนต์นี้
หลายคนอาจจะไม่เห็นด้วย และชี้ว่าผม "หลับหูหลับตา" เลือกกุนซือคนนี้ เพราะเขาคือเทรนเนอร์ของทีมแชมป์อย่าง "ฝอยทอง" โปรตุเกส
แม้ขุนพล "เซเลเซา" จะถูกค่อนแขระว่าเป็นแชมป์ที่ไม่สง่านัก ตั้งแต่นัดแรกจนถึงนัดชิงพูดตรงๆ ว่ากระท่อนกระแท่นเข้าขั้นน่าเกลียด
ตลอด 6 เกมในรายการนี้ โปรตุเกส เอาชนะคู่แข่งใน 90 นาทีได้เพียงนัดเดียวเท่านั้น
เรื่องผลงานคงไม่มีเถียงว่าลูกทีมของ เฟร์นานโด ซานโต๊ส นั้นหาเกมที่น่าประทับใจได้ยาก แต่ที่ผมชื่นชอบและชื่นชมก็คือเรื่องของรายละเอียดปลีกย่อยที่เขาใช้ "ปัญญา" แก้ไขทีมชนิดนัดต่อนัด
และนี่คือเหตผลที่ผมของอนุญาตยกมาเป็นข้อๆ เพื่อจะได้เห็นภาพและเกิดการคล้อยตาม!
1.ระบบที่เหมาะสม
อย่างที่บอกไปในท่อนโปรยว่าระบบฮิตยุคนี้คือ 4-2-3-1 หรือ 4-3-3 รวมแม้กระทั่ง 5-3-2 ที่กำลังอินเทรน
ทว่า โปรตุเกส มาแปลกด้วยระบบ 4-4-2 ไดมอนด์ มีมิดฟิลด์ตัวรับที่ค่อยตัดเกม 1 คน และที่เหลืออีก 3 เป็นมดงานที่อาศัยความขยันวิ่งขึ้นวิ่งลงไม่มีหมด
ที่สำคัญขุนพล “เซเลเซา” ขึ้นชื่อลือชาอยู่แล้วว่ามีจุดอ่อนอยู่ที่กองหน้าตัวเป้า ที่ตั้งแต่หมด เปาโล เปาเลต้า ไป พวกเขาก็หาใครทำยาดีได้ยาก
และไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่หลายๆ ทัวร์นาเมนต์ก่อนหน้านี้เราจะเห็น คริสติอาโน่ โรนัลโด้ ถูกดันไปเป็นตัวความหวังในการทำประตู
อย่างไรก็ตาม ซานโต๊ส จัดทีมชุดนี้เหนือล้ำไปอีกขั้น เพราะเขาใช้แผน “Double Winger” ขึ้นไปเป็นทูท็อปในแดนหน้า
ซึ่งมันเป็นการฉีกกรอบความรู้ลูกหนังไปอีกครั้ง หลังเราเพิ่งจะคุ้นหน้าคุ้นหน้ากับระบบ “False 9” ไปกันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ทว่าทุกอย่างมันกับลงตัวที่สุดแล้วกับ โปรตุเกส ชุดนี้ เพราะทั้ง คริสติอาโน่ โรนัลโด้ และ นานี่ ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถสร้างโอกาสลุ้นประตูได้อย่างมากมาย
งานนี้ไม่รู้ว่าจะมีใครกล้าเลียนแบบหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ บอกเลยว่ายาก เผลอๆ จะมี โปรตุเกส ทีมเดียวในโลกเท่านั้นที่ทำได้
2.ไม่ยืดติดอาวุโส
อย่างที่เรารู้กันว่า โปรตุเกส เริ่มต้นทัวร์นาเมนต์ได้อย่างน่าผิดหวัง 3 นัดในกลุ่มเอฟ เสมอรวดและต้องกระเสือกกระสนเข้ามาเป็นทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุด
แต่ตรงนี้แหละคือจุดประทับใจแรก เพราะตั้งแต่รอบน็อกเอาท์เป็นต้นมา การปรับจูนทีมของ เฟร์นานโด ซานโต๊ส ดูจะจะหยิบจับอะไรก็ดีไปหมด
ขรัวเฒ่ามากประสบการวัย 61 ปี อ่านเกมได้ทะลุปรุโปร่ง มองเห็นว่าจุดอ่อนของทีมในรอบแบ่งกลุ่มอยู่ที่ตรงไหน และไม่เกรงใจที่จะดร็อปแข้งเก๋าออกจาก 11 ตัวจริง
นักเตะลายครามอย่าง ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ และ วิรินญ่า ที่เป็นบ่อในเกมรับ รวมถึง ดานิโล่, อังเดร โกเมซ รวมถึง เจา มูตินโญ่ ที่เล่นไม่ออก พวกนี้ค่อยๆ หายไปตั้งแต่รอบ 16 ทีม
3.การให้โอกาสดาวรุ่ง
จากข้อแรกเมื่อรู้ว่าแข้งเก๋าของทีมมีผลงานไม่ดีและต้องดร็อปเพื่อไม่ให้เป็นเนื้อร้าย สิ่งต่อมาคือการเลือกผู้เล่นที่จะมาลงเล่นแทน ซึ่งทาง ซานโต๊ส ก็กล้าที่จะวัดดวงกับแข้งดาวรุ่งที่ไม่มีประสบการณ์
ในกลุ่มของนักเตะที่ได้ลงแทนมีเพียง โจเซ่ ฟอนเต้ และ อาเดรียน ซิลวา เพียงสอง 2 เท่านั้นที่อายุเกิน 25 ปี ที่เหลือถือว่า “ยังบลัด” ล้วนๆ
ไม่ว่าจะเป็น เซดริค โซอาเรส (24), วิลเลี่ยม คาร์วัลโญ่ (24) และ เรนาโต้ ซานเชซ (18)
เมื่อบวกกับ ราฟาเอล เกร์เรโร่ (23) และ เจา มาริโอ (23) เท่ากับว่าครึ่งหนึ่งของตัวจริง เป็นแข้งหน้าใหม่ที่เพิ่งจะมีประสบการณ์ในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ระดับเมเจอร์
ทว่าทั้งแข้งหนุ่มและแข้งเก๋าทั้งหมดสามารถเล่นได้อย่างลงตัว ทำให้ทีมฟอร์มดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ เรนาโต้ ซานเชซ ที่แจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวและทำลายสถิติในยูโร ไปแบบมากมาย
4.การแก้เกมเฉพาะหน้า
อีกจุดที่ผมชอบในตัว เฟร์นานโด ซานโต๊ส คือเรื่องของการแก้เกม เพราะนายใหญ่ชาวโปรตุกีส เรื่องหัวจิตหัวใจถือว่ากล้าได้กล้าเสีย และกล้าแลกดีไม่น้อย
หลายๆ เกมในรอบแบ่งกลุ่ม ที่พวกเขามักจะเจอกับเกมที่อึดอัด เขาก็พยายามที่จะส่งตัวรุกลงมาเพิ่มเพื่อคาดหวังให้เกิดผลแพ้ชนะไปเลย แต่มันยังไม่สัมฤทธิ์ผลมากนัก
ทว่าในรอบน็อกเอาท์มันเห็นกันคาตาอยู่ อย่างรอบ 16 ทีมที่เจอกับ โครเอเชีย เกมนั้นเป็นรองชัดเจน การส่ง เรนาโต้ ซานเชซ ลงมาก็ทำให้ โปรตุเกส ดูดีขึ้น ก่อนที่ ริคาร์โด้ กวาเรสม่า จะเป็นซูเปอร์ซับให้กับทีม
เกมนัดชิงก็ยิ่งชัด เปเป้ ที่เพิ่งหายเจ็บกลับมา เจ้าตัวก็ไม่ลังเลที่จะส่งลงเป็นตัวจริงทันที และกองหลังของ เรอัล มาดริด ก็เล่นได้อย่างโดดเด่นจนความแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ของเกม
ในขณะที่ ฝรั่งเศส ไม่กล้าที่จะเดินเกมรุกเต็มสูบ ทั้งๆดูจะได้เปรียบในหลายปัจจัย การเปลี่ยนตัวของ ดิดิเยร์ เดส์ช็องป์ส ก็เป็นการชนตำแหน่งต่อตำแหน่ง เช่น ฌีญัก ลงแทน ชิรูด์
ทว่า เฟร์นานโด ซานโต๊ส กลับไม่เป็นอย่างงั้น เจ้าตัวกล้าแลกมากกว่า ด้วยการถอน เรนาโต้ ซานเชส กองกลางออก และ เอแดร์ ที่เป็นกองหน้าลงมาเสริม
ซึ่งทางแท็กติก เอแดร์ ก็อาศัยความใหญ่ก่อกวนคู่เซนเตอร์ โลร็องต์ กอสเซียลนี่ และ ซามูเอล เอิงติตี้ ได้ดี และเป็นคนยิงประตูชัย ทั้งๆ ที่ฟอร์มก่อนหน้านี้ยิ่งกว่า “สากเรียกพี่”
การคว้าแชมป์ครั้งนี้ คนอาจจะไม่พูดถึง เฟร์นานโด ซานโต๊ส มากนัก แต่เอาเข้าจริง ผมว่าเขาควรได้เครดิตไม่แพ้ลูกทีมของเขาเลย