โลเปเตกุย : "ผมปฏิเสธสเปนไม่ได้"
ชีวิตคนเราพลิกผันนิดเดียวจริงๆครับ จากคนที่เคยเกือบตกลงปลงใจที่จะย้ายมาคุมทีม “หมาป่า” วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ในอังกฤษ
แต่เพราะความล่าช้าในกระบวนการเปลี่ยนแปลงเจ้าของในช่วงที่ผ่านมาทำให้ ฮูเลน โลเปเตกุย ได้รับโอกาสครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่า
งานใหม่ที่ว่าคือการคุมทีม “ลา โรฮา” หรือทีมชาติสเปน ต่อจากกุนซือผู้ยิ่งใหญ่อย่าง บิเซนเต้ เดล บอสเก้ ที่พาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2010 และฟุตบอลยูโร 2012
ภารกิจของอดีตกุนซือปอร์โต้ และกุนซือทีม “กระทิงน้อย” รุ่นอายุต่ำกว่า 19, 20 และ 21 ปีถือว่ายิ่งใหญ่ยิ่งนักกับการนำสเปน กลับมาผงาดในวงการฟุตบอลให้ได้อีกครั้งหลัง
จากที่ยุคทองของพวกเขาเริ่มสิ้นสุดตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2014 และล่าสุดกับฟุตบอลยูโร 2016 ที่น่าผิดหวัง
แต่ความจริงที่หลายคนไม่เคยรู้คือ โลเปเตกุย ไม่ได้คิดที่จะได้เป็นกุนซือทีมชาติแม้แต่น้อย
ในความพยายามติดต่อมาครั้งแรกของสหพันธ์ฟุตบอลสเปน โลเปเตกุย ปฏิเสธข้อเสนอในการคุมทีมและต้องการจะย้ายมาเป็นผู้จัดการของวูล์ฟส
“ตอนนั้นผมรอที่จะบรรลุข้อตกลงอยู่และผมก็ตื่นเต้นกับโปรเจ็คต์และแผนงานที่วูล์ฟสมาก”
แต่ด้วยความล่าช้าที่เกิดขึ้นจากการเจรจา รวมกับแรงกดดันต่างๆทำให้เขาไม่มีทางเลือกนอกเสียจากการตอบรับข้อเสนอของสหพันธ์ฟุตบอลสเปน
เรื่องตลกร้ายคือเขาตกลงรับข้อเสนอในวันเดียวกับที่การเทคโอเวอร์วูล์ฟส โดยกลุ่มทุนจากจีนนั้นประสบความสำเร็จพอดี
“ผมรอที่จะสร้างอนาคตร่วมกับวูล์ฟสอยู่ ผมตั้งใจที่จะมาทำงานในอังกฤษ มันมีสิ่งดีๆมากมาย วูล์สฟเองก็เป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และมีแฟนบอลที่วิเศษมาก
มีทุกอย่างพร้อมสำหรับการเป็นสโมสรชั้นนำ แต่เมื่อประเทศชาติเรียกร้องให้เรารับทำหน้าที่อะไรขึ้นมา ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลง”
โลเปเตกุย อธิบายต่อถึงการตัดสินใจรับงานกับสเปน “ตอนที่พวกเขาติดต่อมาแล้วถามว่าผมพร้อมจะรับหน้าที่คุมทีมชาติไหม นั่นหมายความว่าพวกเขาเชื่อว่าผมคือคนที่เหมาะสมกับงานนี้
และถึงแม้จะรู้ว่ามันเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่มาก แต่ความสุขและความภูมิใจที่ได้รับเลือกตรงนี้มันก็มากเกินพอที่จะตอบรับข้อเสนอครั้งนี้”
ช่วงเวลาแห่งความปรีดานั้นไม่ได้ยาวนานนัก โลเปเตกุย ต้องเตรียมทีมให้พร้อมที่สุดสำหรับการสู้ศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก กับ 10 นัดที่จะได้อยู่ร่วมกลุ่มกับ อิตาลี, แอลเบเนีย, มาซิโดเนีย, อิสราเอล และลิคเทนสไตน์
มีหลายเรื่องที่เขาต้องตัดสินใจ โดยเฉพาะกับเรื่องของการเติมความสดชื่นเข้ามาในทีม ไม่ว่าจะเป็นด้านของแท็คติกส์ หรือผู้เล่นสายเลือดใหม่ๆ
เพราะเห็นได้ชัดว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สเปน ประสบปัญหา “ตัน” ในสไตล์การเล่นแบบเดิมๆที่เคยพาทีมเป็นแชมป์ยูโร 2 สมัย และฟุตบอลโลกอีก 1 สมัยนั้นใช้ไม่ได้ผลกับยุคนี้อีกต่อไป
โลเปเตกุย ที่คุ้นเคยกับสายเลือดใหม่ของสเปนเป็นอย่างดีมองเรื่องนี้ว่า “เราจำเป็นต้องรู้ว่าอะไรคือจุดแข็งของเราและอะไรที่เราจำเป็นจะต้องทำเพื่อให้ทีมดีขึ้น
เรารู้ว่าคู่แข่งเองก็เรียนรู้วิธีที่จะหาทางตอบโต้การเล่นแบบครองบอลของสเปนและตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องหาคำตอบของตัวเองให้เจอบ้าง เราจะต้องหาวิธีการเล่นที่มีประสิทธิภาพที่จะตอบโต้คู่แข่งของเราโดยที่ไม่สูญเสียตัวตนของเราเอง"
“แต่สิ่งที่ผมรู้สึกมากกว่าสิ่งอื่นใดในเวลานี้คือความภูมิใจและความสุข กับความหวังว่าทีมชุดนี้จะกลับมาสู่เส้นทางแห่งชัยชนะอีกครั้ง”