สกู๊ป : พายุ "สลาตัน"

195 - คือจำนวนวินาทีที่ ซลาตัน อบราฮิโมวิช ใช้ในการตอบคำถามต่อทุกคนบนโลกที่เฝ้าจับตามองเขาในการย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรที่อาจจะเป็นปลายทางสุดท้ายในชีวิตการเล่นของเขา

และคำตอบนั้นมันช่าง “ซลาตัน” มากๆครับ กับการกระโดดตีลังกายิงเข้าไปอย่างเหนือชั้นเป็นประตูขึ้นนำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ก่อนที่จะถล่มกาลาตาซาราย ในท้ายที่สุดถึง 5-2

ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ดาวยิงสวีดิชทำให้เห็นว่าเขาสามารถที่จะทำเรื่องยากๆให้เป็นเรื่องง่ายๆได้

ในวงเล็บว่า “ถ้าอยากทำ”

โดยที่ทุกอย่างเกิดขึ้นที่ โกเตนเบิร์ก ในประเทศของเขา - ในความหมายแบบซลาตัน คือแผ่นดินสวีเดน คือแผ่นดินที่เขาเป็นเจ้าของ!

ผมเองถึงจะไม่อยากจะทำให้แฟนบอลผีแดงดีใจเกินไปนัก แต่ในความรู้สึกแล้วมันค่อนข้างชัดครับว่าปีนี้น่าจะเป็นปีที่ยูไนเต็ด น่าจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

โดยที่ลูกตีลังกายิงลูกนี้ของ ซลาตัน นั้นเป็นการเซ็ต “โทน” ของฤดูกาลได้ดีไปครึ่งทางแล้ว

เพราะสิ่งสำคัญสำหรับการเตรียมทีมช่วงก่อนเปิดฤดูกาลนั้นไม่ได้มีแค่เรื่องของการเตรียมสภาพร่างกาย หรือการซักซ้อมแท็คติกส์การเล่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องของ “ขวัญกำลังใจ” อีกด้วย

ซึ่งการลงสนามเกมแรกของ ซลาตัน ทำให้ทุกคนลืมทุกอย่างแม้กระทั่งการหายใจ

ดังนั้นแม้ กาลาตาซาราย จะพลิกขึ้นนำก่อนหมดครึ่งแรก และซลาตัน จะถูกเปลี่ยนตัวออกเมื่อครบ 45 นาที และเป็นทีมในครึ่งหลังที่นำโดย เวย์น รูนี่ย์ ที่ทำ 2 ประตู

พลิกสถานการณ์กลับมาให้ทีมจนสุดท้ายชนะไป 5-2 แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจดจำเท่าลูกตีลังกายิงลูกนั้น นี่คือความพิเศษของผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์ที่แท้จริงครับ และมันจะส่งผลต่อทีมในที่สุด

แน่นอนว่าในรายละเอียดแล้วยังมีสิ่งที่ โจเซ่ มูรินโญ่ ต้องจัดการอีกมากกับยูไนเต็ด โดยเฉพาะปัญหาในเกมรับ

และการกระชับขุมกำลังภายในทีมซึ่งตามสไตล์ของจอมอหังการแท้ๆแล้วเขาจะใช้ผู้เล่นในทีมน้อยมาก

การ “โละ” ผู้เล่นจะเกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งรายที่ไม่ได้ไปต่อที่ชัดเจนเวลานี้มีนักเตะอย่าง บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ และ อัดนัน ยานาซาย รวมอยู่ด้วย

แต่มันไม่สำคัญแต่อย่างใดครับ เพราะเวลานี้สิ่งที่ ยูไนเต็ด และมูรินโญ่ ต้องการคือกองพลอสูรแดงที่แข็งแกร่งและกลับมาน่าเกรงขามอีกครั้ง

สิ่งที่ ซลาตัน กล่าวเอาไว้หลังจบเกมว่าจะมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นกับยักษ์หลับแห่งเกาะอังกฤษทีมนี้ถือเป็น “พันธะสัญญา” ที่หนักแน่นครับ

สิ่งที่ยิ่งใหญ่นั้นไม่ได้หมายถึงเพียงกรณีของ ปอล ป็อกบา ที่มีข่าวรายวันจนแทบจะเอียนกันไปข้าง ซึ่งหากไม่มีอะไรผิดพลาดแบบฟ้าถล่มดินทลาย

เราน่าจะได้เห็นเขาในชุดสีแดงเพลิงอีกครั้ง เพียงแต่จะไม่ใช่ฐานะของนักเตะดาวรุ่งอนาคตไกล แต่เป็นซูเปอร์สตาร์เจ้าของค่าตัวแพงที่สุดในโลก

หากแต่มันหมายถึง “อนาคต” ของทีมทั้งทีมที่มีแนวโน้มจะกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง และไม่ใช่เพียงเฉพาะในอังกฤษ

ยูไนเต็ด ตั้งใจจะกลับมาเป็นสโมสรในระดับ Elite ของโลก เทียบเท่ากับ บาร์เซโลน่า, เรอัล มาดริด และบาเยิร์น มิวนิค ให้ได้อีกครั้ง

การได้ ซลาตัน มาคือการแสดงให้เห็นในขั้นแรกว่าพวกเขาต้องการจะกลับไปสู่จุดนั้น แต่หากได้ ป็อกบา มาอีกคนจะยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า ยูไนเต็ด ไม่ได้คาดหวังผลเพียงระยะสั้น

พวกเขามองไกลกว่านั้นครับ ป็อกบาและซลาตัน จะเป็นซูเปอร์สตาร์ที่แท้จริงของทีมนับตั้งแต่เสีย คริสติอาโน่ โรนัลโด้ ให้กับ เรอัล มาดริด เมื่อปี 2009

โดยที่มี มูรินโญ่ ในฐานะตัวแทนของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่อำลาทีมไปเมื่อปี 2013

ไปๆมาๆส่วนตัวผมคิดว่าปีนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด น่าจับตาครับ มากกว่าคู่แข่งอย่าง เชลซี, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือลิเวอร์พูล ด้วยซ้ำไป

หงส์ (ใกล้) ลงตัว

สำหรับ ลิเวอร์พูล ที่ลงสนามในช่วงเช้าของวันอาทิตย์และเก็บชัยชนะได้อีกครั้งเหนือ เอซี มิลาน หลังจากที่พลาดในเกมกับเชลซีนั้น น่าจะเป็นเกมที่ เดอะ ค็อป

กลับมามีความสุขอีกครั้งกับการได้เห็นทีมเดินหน้าในทิศทางที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ควรจะเป็น

Gegenpressing บดมิลานจนโงหัวไม่ขึ้น ขณะที่แนวรุกเองมีความหลากหลายมากขึ้น แม้ว่าในบอลสุดท้าย end product ของหลายๆคนจะยังต้องปรับปรุงก็ตาม โดยเฉพาะ ซาดิโอ มาเน่

ที่ถึงเกมที่ 5 ก็ยังปลดล็อกให้ตัวเองไม่ได้ (และไม่เป็นผลดีแน่นอน แม้จะเล่นได้ดีก็ตาม)

สิ่งที่น่าสนใจคือการที่เวลานี้ คล็อปป์ มีขุมกำลังที่ถือว่าดีใกล้เคียงกันจนแทบจะจัดทีมลงสนาม 2 ชุดได้โดยไม่ขัดเขินครับโดยเฉพาะในแนวรุก

จุดอ่อนอยู่ที่เกมรับที่ยังขาดหมดทั้ง ฟูลแบ็กซ้าย-ขวา รวมถึงเซนเตอร์ฮาล์ฟที่วางใจได้อีกสักคน

ตรงนี้ยังไม่แน่ชัดว่า คล็อปป์ “ต้องการ” จะแก้ไขปัญหาจุดนี้แค่ไหนครับ มีโอกาสที่จะพอใจกับทีมที่เป็นอยู่แล้ว ซึ่งในรายละเอียดยาวๆแล้วเดี่ยวเอาไว้มาว่าถึงกันในคราวต่อไปครับ

คอลัมน์ นิทานลูกหนัง
by ลูกแม่กิ่ง (lookmaeking@hotmail.com)