สกู๊ป : ภาพรวมเดือนแรกกับ "ลีกยุโรป" (โดย นุสรณ์ ศิลปพันธ์)
เปิดซีซั่นกันไปแล้ว สำหรับฟุตบอลลีกใหญ่ของยุโรปทั้ง 5 ลีก ความเข้มข้นมีแค่ไหนนั้น แฟนๆฟุตบอลก็คงจะได้รับชมกันอย่างจุใจ จากการถ่ายทอดสดที่มีให้ชมกันครบทั้งช่องไม่ว่าจะเป็นทางฟรีทีวี, เคเบิ้ลทีวี หรือแม้กระทั่งผ่านทางหน้าจอเครื่องมือสื่อสารต่างๆ แฟนทีมไหนรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ
ตัวเองในฐานะที่ทำงานใกล้ชิดกับข่าวสารต่างๆ บอกได้เลย ปีนี้เข้มข้นไม่น้อยไปกว่าปีก่อนๆอย่างแน่นอน
ในพรีเมียร์ลีก การเข้ามาของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลับกลายมาเป็น พยัคฆ์ติดปีก อีกครั้ง อดีตกุนซือบาร์เซโลน่าและบาเยิร์น มิวนิค คุมทีมลงสนามในเกมอย่างเป็นทางการทุกถ้วยรวมกันมาแล้ว 10 เกม ทีม เรือใบสีฟ้า ยังคงสะกดคำว่า "เสมอ" หรือ "แพ้" ไม่เป็น ผลงานการออกตัวที่เยี่ยมยอด กลบข่าวความขัดแย้ง และคำวิจารณ์อื่นๆจนหมดสิ้น ทุกคนที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พร้อมเดินหน้าสู่ยุคของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อย่างเต็มตัว
ในทางกลับกัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของโชเซ่ มูรินโญ่ ทีเปิดตัวในช่วงแรกสวยงามเช่นเดียวกัน เริ่มออกอาการสะดุดแพ้ถึง 3 นัดติดต่อกันในช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ส่งผลต่อความมั่นใจในทีมพอสมควร แต่ด้วยศักยภาพของนักเตะที่มีอยู่ รวมถึงฝีมือในการคุมทีมของ "เดอะ แฮปปี้ วัน" ทีมปีศาจแดง น่าจะกลับมามีทีมที่ลงตัว กลับมาทำผลงานทีน่ากลัวสำหรับคู่แข่งได้อีกครั้ง
เมื่อพูดถึง ปีศาจแดง แล้ว จะไม่แตะถึงไม่ได้ สำหรับทีม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คลอปป์ ซึ่งเป็นอีกทีมที่สร้างผลงานได้อย่างน่าประทับใจ สไตล์การคุมทีมที่เน้นเกมรุกดุดันตลอด 90 นาที กำลังทำให้ เดอะ ค็อป ทั้งหลายมีความสุข ปีนี้ผมยังคงยืนยันว่า เด็กหงส์ มีลุ้นซักแชมป์ครับ
ส่วนสองทีมยักษ์ใหญ่ของลอนดอนอย่าง อาร์เซน่อล และเชลซี ดูจะอยู่บนเส้นทางที่แตกต่างกันพอสมควร
ทีมปืนใหญ่ของอาร์แซน เวนเกอร์ เริ่มเรียกความมั่นใจกลับมาได้ หลังแพ้ ลิเวอร์พูล คาบ้าน ในเกมเปิดสนาม ตั้งแต่นั้น พวกเขาไม่เคยแพ้ใครอีกใน 7 เกมต่อมา ชนะ 5 และเสมอเพียง 2 ครั้ง ล่าสุดเพิ่งเอาชนะเชลซีได้สำเร็จ 3-0 ทำให้ทีมอื่นจะมองข้ามพวกเขาไปง่ายๆไม่ได้
ขณะที่เชลซี โดยอันโตนิโอ คอนเต้ ก็ออกมายอมรับว่า ทีมของเขาเหลือแต่ชื่อเสียงเก่าในอดีตเท่านั้น และต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ในการที่จะกลับมาท้าทายบัลลังก์แชมป์อีกครั้ง ทำให้คาดกันว่าตลาดนักเตะเดือนมกราคมที่จะถึงนี้ เงินเสี่ยหมีสะพัดแน่นอน
ไปกันต่อที่ ลา ลีกา สเปน ลีกที่ได้รับความนิยมในระยะหลังไม่แพ้พรีเมียร์ลีกเช่นกัน ซึ่งทั้งบาร์เซโลน่าและเรอัล มาดริด แม้ต่างจะทำผลงานได้ไม่ดุดันนัก เมื่อเทียบกับผลงานของปีก่อนๆ แต่ก็ยังคงดีกว่าทีมอื่นๆที่เหลือ และยิ่งในปีนี้ ทีมรองลงไปอย่าง แอตเลติโก้ มาดริด, เซบีญ่า, บียาร์เรอัล และ บาเลนเซีย ต่างมีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร ทั้งในส่วนของนักเตะและผู้จัดการทีม ทำให้ภาพรวมการลุ้นแชมป์ คงยังอยู่ที่สองทีมคู่ปรับจาก เอล กลาสิโก้ เหมือนเดิม
ข้ามชายแดนขึ้นเหนือไปที่ฝรั่งเศส ลีกเมืองน้ำหอม น่าจะเป็นลีกที่มีการลุ้นแชมป์ใกล้เคียง และเกิดความเปลี่ยนแปลงในผลงานของทีมใหญ่อย่างชัดเจนมากที่สุด เมื่อเทียบกับลีกอื่น
นีซ กลายเป็นทีมที่ทำผลงานดีที่สุด ยังไม่แพ้ใครใน 7 นัดแรกของซีซั่น ส่วน "แชมป์เก่า" ปารีส แซงต์ แชร์กแมง โดย อูไน อเมรี่ ที่ผมเองแอบเอาใจช่วยอยู่ตลอด ในการเข้ามาทำงานกับทีมใหญ่ แต่อดีตโค้ชของเซบีญ่า อาจต้องการเวลามากกว่าที่คาดเอาไว้ ในการทำให้ทีมเล่นได้อย่างที่ต้องการ รวมถึงการพยายามนำทีมออกจากร่มเงาความสำเร็จ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ก็อยู่ที่ว่า ผู้บริหารและเจ้าของทีม จะกัดฟันให้เวลากับอเมรี่ เพื่อหวังความสำเร็จของทีมในระยะยาวหรือโค้ชหนุ่มจากสเปนคนนี้ ต้องรับชะตากรรมตกงานก่อนกำหนด ไม่นานคงรู้กัน
สุดท้าย ขยับขึ้นเหนือมาอีกนิด ปิดท้ายกันที่ บุนเดสลีกา ของเยอรมนี เมื่อ ลีกเมืองเบียร์ การลุ้นแชมป์ ยังคงอยู่ที่ 2 ทีมใหญ่แห่งยุค อย่าง "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค และ "เสือเหลือง" โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ โดย "แชมป์เก่า" บาเยิร์น มิวนิค เริ่มต้นซีซั่นกับ คาร์โล อันเชอล็อตติ เทรนเนอร์คนใหม่อย่างสวยงาม ชนะรวดใน 5 เกมแรก ขึ้นนำเป็นจ่าฝูง โดยมี โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่พยายามเร่งตามติดมาเป็นอันดับที่สอง พร้อมผลงานยิงประตูได้มากที่สุดในลีก
แต่ที่ทำให้บุนเดสลีกา น่าสนใจมากขึ้นในปีนี้ก็คือ ตั้งแต่เปิดฤดูกาลได้เพียงไม่ถึง 1 เดือน มีเทรนเนอร์ต้องตกงานไปแล้วถึง 2 ทีม เริ่มจาก วิกเตอร์ สคริบนิค ของแวร์เดอร์ เบรเมน ที่โดนปลดหลังจากคุมทีมได้เพียง 3 เกม ในซีซั่นนี้ ก่อนที่จะตามมาด้วย บรูโน่ ลาบบาเดีย ของฮัมบูร์ก ที่เพิ่งโดนปลดออกจากตำแหน่งเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกสำหรับลีกบุนเดสลีกา ที่ตามปกติโค้ชจะมีความมั่นคงในหน้าที่การงานมากเป็นอันดับต้นๆ เมื่อเทียบกับลีกอื่น เทรนเนอร์คนต่อไปให้จับตามองที่ มาร์คุส ไวน์เซิร์ล ของชาลเก้ ครับ อาจว่างงานในเร็ววันนี้
ทั้งหมดก็เป็นความเคลื่อนไหวในภาพรวมของลีกใหญ่ในยุโรปทั้ง 5 ลีก เล่าสู่กันฟังเผื่อไม่มีเวลาติดตามกันได้ครบถ้วน ก็ขออนุญาตนำมาเล่าแบบย่อๆให้ไปลุ้นกันต่อละกันนะครับ สัปดาห์ที่จะถึงก็จะเป็นสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่จะปิดเบรคทีมชาติกันอีกครั้ง ก็ขอให้ดูฟุตบอลให้สนุก
อ่อ เกือบลืม เมื่อดูบอลนอกแล้วอย่าลืม ส่งกำลังใจเชียร์ทีมชาติไทย กันด้วยนะครับ ทีมช้างศึกของเราจะมีเกมลงสนามเป็นเกมเยือนทั้งสองเกม เริ่มตั้งแต่ในวันที่ 6 ตุลาคม ไปเยือนทีมชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และวันที่ 11 ตุลาคม จะไปเยือนทีมชาติอิรัก (แต่เตะกันที่อิหร่าน ไม่ต้องงงนะ)
ถึงวันนั้น พร้อมเพรียงกันที่หน้าจอครับ