FIVE SWEET SPOTS: 5 บทเรียนช้างศึกบุกโดนยูเออีทะลวง
แม้ว่า ทีมชาติไทย จะไม่สามารถเก็บแต้มแรกในการลงเล่นฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 12 ทีมสุดท้ายได้ หลังบุกไปพ่าย ยูเออีด้วยสกอร์ 3-1 แต่เกมนี้นักเตะช้างศึกทุกคนสู้กับคู่แข่งจากตะวันออกกลางได้ดี และมีสกอร์แรกในรอบนี้แล้วจากฝีเท้าของ ธนา ชะนะบุตร แม้ว่ามันจะไม่ดีพอให้มีแต้มกลับมา แต่นี้คือบทเรียนที่ได้รับจากเกมนี้
1. ทำการบ้านยังไม่พอ
แม้ว่าสมาคมกีฬาฟุตบอลจะยินยอมขยับโปรแกรมโตโยต้า ไทยลีก ในวันที่ 28 กันยายน ออกไปเพื่อให้ทีมชาติไทย สามารถมีเวลาในการเก็บตัวเพิ่ม แต่ดูเหมือนว่า การทำการบ้านเตรียมตัวจะยังไม่พออยู่ดีในเกมนี้ เมื่อแนวรับของไทยยังผิดพลาดให้กับจุดเด่นของ ยูเออี อย่าง อุมัร อับดุลราห์มาน ที่จ่ายบอลโจมตีที่ว่างในแนวรับของไทยในการเสียประตูทั้งสามลูก พูดง่ายๆว่าไม่สามารถรับมือได้เลย นอกจากนี้ในเกมรุกของไทย ที่ได้โอกาสจากลูกเตะมุม มากถึง 10 ครั้งแต่มีใกล้เคียงแค่จังหวะหวาดเสียวครั้งเดียวจากการโหม่งของ ธนา ชะนะบุตร เท่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงความละเอียดละออในเกม นอกจากนี้ 11 คนแรก มีนักเตะหลายคนที่ได้โอกาสก่อนหน้านี้ 2 เกมแต่ก็ยังเค้นฟอร์มไม่ได้ ยังคงได้ลงเป็นตัวจริงตามเดิม แสดงให้เห็นว่า ช้างศึกยังทำการบ้านเตรียมพร้อมในจุดนี้มายังไม่พอ
2. พ่อมดยูเออี
ก่อนเกมนี้สื่อถูกสำนักต่างประโคมข่าวฟอร์มการเล่นของ อุมัร อับดุลราห์มาน จอมทัพของยูเออี แต่ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เฮดโค้ชทีมชาติไทย ยืนยันว่าจะไม่ประกบติด ดาวเตะรายนี้ตลอดทั้งเกม ซึ่งเมื่อไร้ซึ่งคนประกบ เพลย์เมกเกอร์จาก อัล ไอน์ ก็ได้ปล่อยของแบบเต็มๆ ซึ่งดาวเตะรายนี้แทบจะเป็นคนที่กำหนดเกมรุกของเจ้าบ้าน ทั้งสั้นยาว และช้าเร็วเอาไว้หมด เพราะเต็มเปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์ และทักษณะในการเอาตัวรอด ทุกประตูที่ไทยเสียไป ล้วนมาจากจุดเริ่มต้นของเขาทั้งหมด ฟอร์มในครึ่งแรกแข้งวัย 25 ปีแสดงให้เห็นแล้วว่า เขามีความสำคัญกับเกมรุกของยูเออี มากขนาดไหน แต่ในครึ่งหลัง อุมัร ยังคงได้เล่นตามเกมของตัวเอง และประตูที่สองที่จ่ายให้ อาลี มับคูต ตั้งแต่ต้นครึ่งหลังก็แทบจะทำให้ไทยเข่าอ่อนกันไปเลย
3. ต้องยกระดับการจบสกอร์
ที่ผ่านมาสามเกมต้องบอกว่าเกมนี้ทีมชาติไทยสามารถต่อกรกับคู่แข่งในระดับเอเชียได้ดีที่สุด แม้จะไม่มีแต้มติดมือ เมื่อสามารถครองเกมบุกได้มากขึ้น แถมสถิติยังชี้ชัดว่าไทยครองบอลได้เหนือกว่าเจ้าบ้านด้วยซ้ำ หากแต่จังหวะสกอร์ที่ยังมีน้อยกว่าและยังขาดความเด็ดขาด จนทำให้แพ้ไป แม้ว่า ธนา ชะนะบุตรจะเบิกสกอร์แรกให้ทีมไทยในรอบนี้ได้สำเร็จ ซึ่งเกมในระดับทวีปอย่างนี้โอกาสจะมีไม่บ่อยเหมือนอย่างในระดับอาเซียน เพราฉะนั้นเมื่อได้รับโอกาสจะต้องแปรเปลี่ยนให้เป็นประตูให้ได้ เหมือนอย่างที่ ยูเออี ได้แสดงให้เราเห็นในช่วงท้ายเกม ที่ไทยเกือบจะได้ประตูตีเสมอ และเมื่อทำไม่ได้ก็ถูก อะหมัด คอลีล ลงโทษทันที
4. ความหวังจากม้านั่งสำรอง
สองเกมแรกทีมชาติไทย ใช้โควตาตัวสำรองไป อย่างไม่เกิดประโยชน์ แต่ในเกมนี้ต้องชื่นชมการการส่งตัวสำรองลงสนาม เพราะผู้เล่นอย่าง สิโรจน์ ฉัตรทอง และ ธนา ชะนะบุตร สามารถลงมาเปลี่ยนแปลงเกมได้รวมไปถึง ประทุม ชูทอง ที่ไม่ได้มีข้อผิดพลาดอะไรให้เห็น ทำให้เกมนัดต่อไป อย่างน้อยทีมงานสต๊าฟโค้ชของไทยจะได้เห็นว่ามีนักเตะที่ให้เลือกใช้งานเพิ่มเติมมากขึ้น และไม่แน่ว่าโฉมหน้า 11 ตัวจริงในเกมหนีบ๊วยกับอิรักอาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็ได้ หากยึดจากฟอร์มล่าสุด
5. ลืมเรื่องฟุตบอลโลกไปก่อน
ผ่านสามนัดทีมชาติไทยกอดคอกับอิรักอยู่ในตำแหน่งบ๊วยของตาราง และถูกทีมอื่นๆทิ้งห่างไปเรื่อยๆ โดยจ่าฝูงอย่างออสเตรเลียมี 7 คะแนนเท่ากับ ซาอุดิอาระเบีย และ ญี่ปุ่น กับ ยูเออีมี 6 แต้มเท่ากัน การพ่ายแพ้นัดนี้ยังไม่ใช่การปิดประตูไปฟุตบอลโลกในหนนี้ของทีมชาติไทย ยังเหลืออีก 7 เกมให้ต่อสู้กันไป น่าจะเป็นเรื่องดีหากเราลืมเรื่องการสร้างประวัติศาสตร์ไปลุยฟุตบอลโลกไว้ก่อน แล้วหันมาโฟกัสกับความเป็นจริงที่อยู่ข้างหน้า ด้วยการเดินหน้าเก็บแต้มไปเรื่อยๆ หรือการคว้าชัยในรอบนี้เป็นหนแรก หลังจากที่ ทีมชาติไทยเคยผ่านเข้ารอบนี้มาเมื่อ 16 ปีที่แล้วและนับถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เคยชนะใคร แล้วค่อยมองเป้าหมายต่อไป และคิดถึงเกมกับ อิรัก ในวันที่ 11 ตุลาคม โดยที่ลืมความผิดหวังจากเกมนี้เอาไว้ข้างหลังก่อน