"ผมโง่กว่าควายครับ"
วันนี้ผมขอเขียนเรื่องสบายๆ หลังจากที่เขียนเรื่องของฟุตบอลไทย และเรื่องเครียดในแวดวงกีฬามา
ผมอยากเขียนเรื่องลูกศิษย์ที่ผมเคยเป็นครูฟุตบอล เมื่อประมาณเกือบ 30 ปีก่อน ทุกวันนี้ลูกศิษย์ที่มีความผูกพันกัน ก็ยังติดต่อมาโดยตลอด และมีหลายคนที่น่าสนใจครับ
หลังจากที่ผมตัดสินใจไปอบรมโค้ชที่อังกฤษ สกอตแลนด์ และได้กลับมาเมืองไทย ลูกศิษย์รุ่นแรกของผมก็คือศิษย์ที่เล่นฟุตบอลให้กับทีมจุฬาฯ ผมกลับมาโชคดีที่ท่านปลัดพิศาล มูลศาสตรสาทร
ตอนนั้นท่านเป็นนายกสมาคมศิษย์เก่าของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มอบหมายให้ผมรับผิดชอบในเรื่องของการเป็นหัวหน้าโค้ชฟุตบอลประเพณีทีมจุฬาฯ
ช่วงนั้นผมอายุเพียง 30 ปี เป็นหัวหน้าโค้ชที่อายุน้อยที่สุดที่เคยมีมา ศิษย์รุ่นนั้นเป็นศิษย์ที่ต้องบอกว่ามีประวัติศาสตร์ร่วมกันมากมาย มีทั้ง ธรรมวิทย์ ศิริธรรม, จำรัส วากะดวน, จักรฤทธิ์ อนุฤทธิ์ ถือว่าเป็นรุ่นพี่ที่สุด
ส่วนรุ่นรองลงมาก็มี ธวัติ บุญไทย, พันเลิศ บุญประสงค์, ชนะ สีมารัตน์ และไล่ลงมาเรื่อยๆ จนถึงรุ่นใหม่ๆ คือรุ่นที่ผมมาทำทีมเยาวชนอายุไม่เกิน 16 ปี ให้กับทีมชาติไทย ในยุคที่คุณมนตรี สุวรรณน้อย เป็นผู้จัดการทีม ยุคนั้นก็จะมีลูกศิษย์ เช่น เศกสรรค์ ปิตุรัตน์, ธงชัย อรรคพงษ์ จากสวนกุหลาบ, พงษ์ศักดิ์ ย่องบุตร และอีกหลายคนที่เป็นลูกศิษย์ผมในยุคเริ่มต้นที่ผมโค้ชฟุตบอล
หลังจากที่ผมมาทำทีม สินธนา ของคุณมนตรี สุวรรณน้อย เป็นเพื่อนรักมาโดยตลอด สร้างทีมตั้งแต่เด็กรุ่น พงษ์ศักดิ์ จ้องบุตร, เศกสรรค์ ปิตุรัตน์, ธงชัย อรรคพงษ์ ยังเรียนอยู่ที่วัดสุทธิฯ เรียนอยู่ที่สวนกุหลาบ
และก็มี ธนัญชัย บริบาล, เดชา เกื้อหนุน, เชี่ยวชาญ แพรขุนทด, สบโชค จิตการุณ, ประนุพงษ์ ปิ่นสุวรรณ, กิตติศักดิ์ ระวังป่า เป็นนักเรียนของอัสสัมชัญบางรัก พอผมเลิกงานก็จะมารับลูกศิษย์เหล่านี้ ไปซ้อมที่สโมสรสินธนา
จน 3 ปีต่อมาเด็กเหล่านี้ผสมผสานกับเด็กจุฬาฯ กับรุ่นพี่ที่ผมไปดึงมาไม่ว่าจะเป็นกองกลาง อนัน พันแสน, ศุภมิตร บุญมีมาก , นันทปรีชา คำแหง เหล่านี้คือขุนพลในรุ่นแรกๆ ที่ผมทำทีมสโมสรสินธนา ได้แชมป์เอฟเอคัพเอาชนะ ทีมทหารอากาศ ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์เพราะว่า ผมคุยกับคุณมนตรี สุวรรณน้อย ว่าขอเวลา 5 ปี แต่เพียง 3 ปี เม็ดงานที่ผมผลิตขึ้นมาก็สัมฤทธิ์ผลได้แชมป์เอฟเอคัพ
หลังจากได้แชมป์ แล้วก็มีอุบัติเหตุเล็กๆ ความคิดเห็นของผมกับ คุณมนตรี สุวรรณน้อย เรามองเรื่องฟุตบอลไม่เหมือนกัน ผมเลยยุติการทำทีมสินธนา ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
หลังจากนั้นผมก็มาทำทีม ม.ศรีปทุม และก็มาทำทีมสโมสรราชประชา และสุดท้ายก็มาทำสโมสรบีอีซี เทโรศาสน ของ คุณไบรอัน มาร์คา จนทีมบีอีซี เทโรศาสน ได้แชมป์ทั้งไทยลีก ถ้วย ก. ได้แชมป์ทั้งหมด
สุดท้ายก็ยุติ ผมพูดประวัติของการทำทีมเหล่านี้ก็เพราะอยากสื่อให้เห็นว่า ในสมัยที่ผมทำทีมฟุตบอลผมมีลูกศิษย์มากมาย ปัจจุบันก็ยังเป็นลูกศิษย์ที่ยังคบหา พูดคุย มีเรื่องอะไรก็ยังบอกกล่าวกันมาโดยตลอด
ผมภูมิใจกับศิษย์รุ่นแรกเพราะว่า ทุกวันนี้ลูกศิษย์รุ่นแรกของผม ไม่ว่าจะเป็น ธรรมวิทย์ ศิริธรรม, จักรฤทธิ์ อนุฤทธิ์ จบนิติศาสตร์จุฬาฯ ตอนนี้เป็นหัวหน้าฝ่ายกฏหมายของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
ในขณะที่ ธรรมวิทย์ ศิริธรรม ตอนนี้เป็นผู้อำนวยการฝ่าย, จำรัส วากะดวน ทำหน้าที่ระดับผู้อำนวยการฝ่าย คือลูกศิษย์ทุกคนในรุ่นนั้นประสบความสำเร็จ มีชีวิตครอบครัวที่ดี มีทุกอย่างที่คนเล่นฟุตบอลมาก็สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้
โดยมีคุณสมบัติ เวียงแก้ว อดีตรองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นำนักฟุตบอลเหล่านี้ที่จบแล้วเข้าไปทำงาน
จนทุกวันนี้ทุกคนมีอนาคต รุ่นต่อมาไม่ว่าจะเป็น พันเลิศ บุญประสงค์ และอีกหลายคนที่ประสบความสำเร็จ ต่อเนื่องมาถึงนักเตะของสินธนาอีกหลายคนที่ไม่ได้จบจุฬาฯ
ไม่ว่าจะเป็น เศกสรรค์ ปิตุรัตน์ และอีกหลายๆ คนที่เป็นนักเตะจากธรรมศาสตร์ เช่น โชคทวี พรหมรัตน์, อภิเชษฐ์ พุฒตาล นักเตะเหล่านี้พอเรียนจบปริญญาตรี ก็เข้าไปทำงาน ถึงจะเป็นอดีตนักฟุตบอลแล้ว แต่ก็มีหน้าที่การงานที่น่าภูมิใจ
ส่วนนักเตะอีกหลายคนที่ไม่ได้เข้าไปทำงานในการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในรุ่นของ เดชา เกื้อหนุน, เชี่ยวชาญ แพรขุนทด, ประนุพงษ์ ปิ่นสุวรรณ ก็เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่อัสสัมชัญ บางรัก และมีบางคนอาจจะไม่ได้เป็นครู อย่าง สบโชค จิตการุณ ก็ทำงานการโรงแรม, อนัน พันแสง กลับไปอยู่ที่บ้านเกิด, พนิพล เกิดแย้ม จบเกษตรศาสตร์ มาทำงานที่โรงงานยาสูบ นักเตะเหล่านี้ที่ผมพูด เป็นนักเตะที่เป็นลูกศิษย์ผม มีความเคารพและยังติดต่อกัน
และก็มีนักเตะทีมชาติไทยที่มีความผูกพันสมัยที่เล่นด้วยกัน ทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกันอย่าง สุเมธ อัครพงษ์ และก็มีอีกหลายคนในทีมชาติไทย ซึ่งถือว่าเป็นครูเป็นลูกศิษย์กันมาโดยตลอด
ผมพูดถึงลูกศิษย์เหล่านี้ก็เพราะว่ามาถึงวันนี้แล้วคนเป็นครูอย่างผมต้องบอกว่าค่อนข้างภาคภูมิใจ เพราะว่าลูกศิษย์ทุกคนตอนสมัยที่เล่นฟุตบอลยังเรียนหนังสือ ทุกคนจะมีประโยคที่ผมพูดให้กับลูกศิษย์ผมฟังก็คือ เล่นฟุตบอลมันไม่สามารถเลี้ยงเราได้ตลอดชีวิต แต่การศึกษาจะเลี้ยงเราได้ตลอดชีวิต
ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่ผมมีโอกาสผลักดันให้ลูกศิษย์ผมเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยดีๆ จะเป็นจุฬาฯ, ธรรมศาสตร์, เกษตรศาสตร์ แล้วผมบอกทุกคนว่าถ้าใครที่เรียนไม่จบให้มาหาผม ผมจะซื้อควายให้ 1 ตัว และจะให้จูงควายกลับไปที่บ้านเกิด
ไปบอกพ่อแม่ว่า ผมโง่กว่าควายครับ ผมเลยเรียนไม่จบ ซึ่งคำพูดเหล่านี้ทำให้ลูกศิษย์ผมทุกคนเรียนจบปริญญาตรี มีงานมีการ มีครอบครัวที่ดี เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจครับ
ถามว่าลูกศิษย์คนไหนในทั้งหมดที่ภาคภูมิใจก็คงเป็น ธรรมวิทย์ ศิริธรรม หลังจากที่เลิกเล่นฟุตบอลก็ยังมีความผูกพัน ยังมีโอกาสได้ทำงานร่วมการ ทำงานร่วมกับผม เป็นโค้ชที่รู้ใจทำงานร่วมกันมาโดยตลอด ด้านชีวิตส่วนตัว
ทุกวันนี้ ธรรมวิทย์ ศิริธรรม ทำงานที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ดูแลพ่อแม่ มีบ้านไม่ใหญ่ไม่โต มีบ้านพักตากอากาศเล็กๆ ไว้พักวันหยุดกับครอบครัว ส่วนอีกคนไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ เศกสรรค์ ปิตุรัตน์ ทุกวันนี้ทำงานอยู่ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แต่ฐานะทางครอบครัวเป็นสามีของเจ้าของร้านข้าวเหนียวที่ดังที่สุดใน คือร้าน ช.ศรแก้ว พบรักกันตอนที่ เศกสรรค์ ปิตุรัตน์ ไปแข่งฟุตบอลที่บรูไน ติดต่อกันจนกระทั่งแต่งงาน
ทุกวันนี้ เศกสรรค์ ปิตุรัตน์ ก็ตกถังข้าวเหนียว ชีวิตใครเห็นก็อิจฉา ขับรถเบนซ์รุ่นใหม่ ระดับ S คลาส เช้าตื่นตั้งแต่ตี 3 มาหุงข้าวเหนียวเพราะว่าขายระดับวันหนึ่งอย่าว่าแต่เลข 6 หลักเลย ได้ข่าวว่าเลข 7 หลักเลย ขับรถเบนซ์ส่งลูก แล้วก็มาทำงานต่อที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตอนเย็นก็รับลูกกลับบ้าน มีภรรยาที่น่ารักมาดูแล ชีวิตประจำวันเป็นแบบนี้ และอีกหลายๆ คนที่เป็นครู เป็นมาสเซอร์
นี่คือลูกศิษย์ที่ผมภาคภูมิใจทั้งนั้นครับ วันนี้ขออนุญาตพูดถึงลูกศิษย์ที่ไม่ได้เคยเอ่ยถึงเลย และยังมีอีกหลายคนที่ผมไม่ได้เอ่ยถึง แต่ละคนที่เป็นลูกศิษย์ ผมผลักดันให้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ถ้าคุณเรียนไม่จบอย่าลืมซื้อควายให้ 1 ตัว แล้วจูงกลับไปบ้าน ไปบอกพ่อแม่ว่า ผมโง่กว่าควายครับ
เรื่องโดย : "หมอเมา"