เชียร์ช้างศึกสู้จิงโจ้

เชียร์ช้างศึกสู้จิงโจ้

เชียร์ช้างศึกสู้จิงโจ้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เหลืออีกแค่วันเดียว ขุนพลช้างศึก “ทีมชาติไทย” ก็จะลงสนามนัดที่ 5 ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก รอบสุดท้าย โซนเอเชีย กลุ่มบี เจอกับทัพจิงโจ้ “ทีมชาติอสสเตรเลีย” ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน แน่นอนว่ามาถึงตรงนี้เป้าหมายของเกมหนีคือเก็บคะแนนแรกให้ได้ เพราะก่อนหน้านี้ 4 นัดแพ้รวด

การเจอกับขุนพลจิงโจ้ไม่ใช่งานง่ายแน่กับทีมที่ผ่านฟุตบอลโลกมาแล้วบวกกับสไตล์การเล่นฟุตบอลที่ไม่ถือว่าเป็น “เอเชีย” เนื่องจากออสเตรเลียเป็นฝรั่ง แต่ทำเรื่องย้ายโซนจากโอเชียเนียมาอยู่กับ “เอเอฟซ๊” หรือมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียเพื่อโอกาสที่มากขึ้นในการไปเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย

สิ่งแรกที่เราเสียเปรียบเลยคือ “รูปร่างและร่างกาย” ที่ฝรั่งสูงใหญ่กว่า แรงปะทะมากกว่า ดังนั้นไม่แปลกว่าทำไมเวลาทีมต่างชาติหรือบรรดาทีมเอเชียด้วยกันที่รูปร่างสูงใหญ่กว่าเรา มักจจะมาเล่นลูกโด่งกับนักเตะไทย เพราะต่อให้ความสามารถเฉพาะตัวเหนือกว่าหรือสูสีแค่ไหน เวลาต้องมาปะทะกันก็เสียเปรียบอยู่ดี มิเช่นนั้นกีฬาทวยหรือต่อสู้คงไม่แบ่งเป็นรุ่นๆหรอก เพราะกีฬาที่มีการปะทะกันของผู้เล่น จุดนี้เป็นปัจจัยสำคัญเหมือนกัน

ต่อมาคือเรื่องของประสบการณ์ ถ้าไปดูแค่รายชื่อนักเตะจิงโจ้ 23 คนชุดที่จะแข่งวันพรุ่งนี้ จาก 23 คน มีถึง 15 คนที่เล่นฟุตบอลอาชีพอยู่ในทวีปยุโรป อาจจะไม่ใช่นักเตะทีมใหญ่แต่ก็เชื่อว่ามีดี มิเช่นนั้นคงไม่สามารถเล่นอยู่ในลีกสุงสุดของยุโรปได้

เอาแค่ผู้รักษาประตู “แม็ทธิว ไรอัน” จากบาเลนเซีย ถึงจะไม่ใช่ตัวจริงกับสโมสรแต่การเล่นอยู่ในลาลีกาก็ถือว่าไม่ธรรมดา หรือกองหลังอย่าง “แบรด์ สมิธ” กับ “บาร์ลีย์ ไรท์” ที่เล่นอยู่ในลีกแชมเปี้ยนชิพ อังกฤษซึ่งลีกรองของอังกฤษ นักเตะที่เล่นอยู่ต้องฟิตมากเพราะต้องลงสนามทุกสัปดาห์จากสโมสรในลีกมาถึง 24 ทีม ไม่นับสไตล์บอลอังกฤษยิ่งระดับลีก แชมเปี้ยนชิพ สายบอลที่ต้องใช้ “ความแข็งแกร่ง” และ “แรงปะทะ” แน่นอน

มิดฟิลด์มีตัวเก๋าอย่าง “ไมค์ เยดินัค” ที่ค้าแข้งกัแอสตัน วิลล่า หรือ “ทอม โรจิส” วัย 23 ที่อยู่กับทีมดังอย่างเซลติคในสก็อตแลนด์ ขณะที่กองหน้าอย่าง “ร็อบบี้ ครูซ” กับ “แม็ทธิว เล็กกี้” ที่ค้าแข้งในบุนเดสลีกา เยอรมัน ทั้งคู่เป็นนักเตะชุดใหญ่และตัวจริงของ “เลเวอร์คูเซ่น” กับ “อิงโกสตั๊ด” ด้วย

ในขณะที่เรื่องอื่นอย่าง “ความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะ” หรือ “กึ๋นของโค้ช” ไม่ขอพูดถึง เพราะเป็นสิ่งที่เปรียบเทียบยาก ทั้ง ซิโก้ “เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” กับ “อันเก้ ปอสเตโกลู” ก็ถือว่าเก่งทั้งคู่ แม้ว่าอาจจะผ่านโรงเรียนโค้ชหรือมีทัศนคติเรื่องฟุตบอลไม่เหมือนกัน หรือนักเตะเอง ช่วงหลังก็มีการนำวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้าใช้กับนักกีฬาทำให้ความพร้อมนอกสนามมองว่าไม่ต่างกัน

อย่างไรก็ตามสิ่งที่มองว่าเราน่าจะได้เปรียบกว่าคงหนีไม่พ้น ความคุ้นเคยกับเพื่อนร่วมทีมที่มากกว่า เพราะเก็บตัวมาตั้งแต่เดือนตุลาคมเกือบทุกวันเนื่องจากลีกในประเทศของเราไม่มีแข่ง เรียกว่าไม่ต่างจากชุดดรีมทีมที่เอานักเตะทีมชาติมาอยู่ด้วยกัน ซ้อมบอลด้วยกัน กินนอนด้วยกัน ดังนั้นเชื่อว่าหลายๆจังหวะที่ต้องเล่นเป็นทีม ส่งบอล ผ่านบอล น่าจะให้ขุนพลช้างศึกได้ลุ้นบ้างแหละ

ต่างจากคู่แข่งที่นักเตะเป็นนักเตะอาชีพ มารวมตัวกันเพียงไม่กี่วันเท่านั้น

สุดท้ายผลการแข่งขันจะออกมาเป็นอย่างไร คงไม่มีอะไรจะต้องเสียใจ เพราะทางไทยเองก็ “เต็มที่สุดๆ” แล้ว ถ้าได้แต้มนึงหรือ 3 แต้มก็น่ายินดีนั่นหมายความว่า ฟุตบอลไทยของเรามีการพัฒนามากไกลมาก แต่ถ้าไม่ก็เป็น “บทเรียน” เอาไว้เรียนรู้ครับ   

แบงค์ พิพัช

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook