อีกเกมที่น่าเสียดายของ "น้ามู"
หลังเสียงสิ้นนกหวีดหมดเวลาที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา เชื่อว่าสาวกผู้พลีกายให้กับขุนพลอสูรแดง “แมนฯยูไนเต็ด” คงรู้สึกเสียดายไม่น้อยกับผลการแข่งขันที่เสมอกับคูปรับอีกทีมในลีกอย่าง “อาร์เซน่อล” 1-1 เพราะเกมนี้ลูกทีมของ “โจเซ่ มูรินโญ่” ทำได้ดีกว่าจริงๆ
ตั้งแต่ก่อนได้ประตูนำในช่วงครึ่งหลังจาก “ฆวน มาต้า” บรรดานักเตะอสูรแดงมีโอกาสทำประตูหลายครั้งแต่ยิงพลาดกันเองบ้างและถูก “ปีเตอร์ เช็ค” ผู้รักษาประตูของคู่แข่งเซฟบ้าง ไม่นับจังหวะที่ “อันโตนีโอ วาเลนเซีย” ถูก “นาโช่ มอนเรอัล” ใช้แขนขวาขวางในจังหวะที่แตะหลุดเข้าไปในเขตโทษแล้วแต่ “อังเดร มาริเนอร์” ผู้ตัดสิน บอก “ไม่ฟาล์ว”
เปอร์เซนต์การครองบอลของเจ้าบ้านอาจจะน้อยกว่าเล็กน้อยแต่ก็สามารถสร้างจังหวะโอกาสส่องประตูได้ถึง 12 ครั้ง ขณะที่ทีมเยือนปืนใหญ่มีโอกาสแค่ 5 ครั้งเท่านั้น เพราะเวลานักเตะแมนฯยูได้บอลจะเคลื่อนบอลไปข้างหน้า ไม่ติ๊ดฉึ่งให้เสียเวลา ต่างจากลูกทีมของ “อาร์แซน เวงเกอร์” ที่เล่นบอลบนพื้นเท้าสู่เท้าเป็นหลัก ไม่มีช่องก็ส่งหลัง จะไม่แทงบอลทะลุคู่แข่งหรือออกข้างสักเท่าไหร่ถ้าไม่แน่ใจว่าบอลจะไปถึงเพื่อน
นอกจากนั้นถ้าดูเรื่องของความฟิตนักเตะในสนาม จะเห็นว่านักเตะแมนฯยูดู “วิ่งสู้ฟัด” มากกว่า ต่างจากอาร์เซน่อลที่ดูเล่นสะเปะสะปะ เหมือนลืมเอาชีวิตชีวากลับมาจากแคมป์ทีมชาติของตัวเองเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นี้คือภาพรวมในเรื่องตัวนักเตะของทั้งสองทีม
ในส่วนของผู้จัดการทีม อย่างมที่เขียนไปก่อนหน้านี้ว่า “เวงเกอร์” กับ “มูรินโญ่” เหมือนจะแพ้ทางกัน เพราะหลังจบนัดนี้เป็นอีกครั้งที่กุนซือชาวฝรั่งเศสผู้คุมทีมยาวนานที่สุดในลีกจนถึงปัจจุบันไม่สามารถสะกดคำว่า “ชนะ” จอมอหังการจากแดนฝอยทองได้ ยิ่งแท็กติคของน้ามูที่ไม่ได้มาเล่นเกมรับ หรือเอารถบัสมาขวางประตูไว้เหมือนที่ใครหลายๆคนคิดไว้
แต่พยายามเล่นเกมของตัวเองโดยเฉพาะการใช้จุดแข็งของแผงมิดฟิลด์ที่ทักษะเล่นบอลติดเท้าได้ดีอย่าง “พอล ป็อกบา” กับ “อันเดร์ เอร์เรร่า” รวมทั้งตัวรุกอย่าง “ฆวน มาต้า” คอยสนับสนุนพวกความเร็วสูงที่ยืนข้างหน้าอย่าง “มาร์คัส รัชฟอร์ด” กับ “อองโตนี่ มาร์ซิยัล” ก่อนที่รายหลังจะถูกเปลี่ยนช่วงต้นครึ่งหลังให้ปีศาจหมู(เมา) ลงมาช่วยเก็บบอลสร้างจังหวะอีกคน
พอเกมรับก็ให้ “เล่นหนัก” ใส่พวกนักเตะอาร์เซน่อลที่นอกจากสไตล์เล่นบอลคุณหนูแล้วยังดูไม่ฟิตเท่าอีกด้วย จึงไม่แปลกที่ลูกทีมของน้ามูถึงครองเกมส่วนใหญ่เอาไว้พร้อมสร้างจังหวะได้เรื่อยๆ ต่างจากผู้มาเยือนที่ต้องรอเล่นจังหวะสวนกลับเอา แต่ด้วยความที่นักเตะไม่ฟิตทำให้เวลาโต้กลับไม่สามารถเล่นได้รวดเร็วอย่างที่หวังไว้
ยิ่งไปกว่านั้น “เมซุต โอซิล” จอมขี้เกียจกลับมาเล่นขี้เกียจเหมือนเดิมแล้วและ “อารอน แรมซีย์” ก็ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แถม “โมฮัมเม็ด เอลเนนี่” เด็กอียิปต์ที่ลงมาก็เล่นไม่เข้าฟอร์ม ซึ่งเล่นแบบนี้จริงๆสมควรแพ้
อย่างไรก็ตามที่บอกว่า “น่าเสียดาย” คือเจ้าบ้านต้องมาแพ้ภัยตัวเองจากจังหวะพลาดช่วงท้ายเกมแค่ครั้งเดียว ในจังหวะที่ “อเล็กซ์ อ็อกเลด-แชมเบอร์เลน” กระชากบอลหนี “รัชฟอร์ด” เข้ามาให้ “โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์” โหม่งตีเสมอเข้าไปในนาทีที่ 89 ส่งผลให้เกมที่ควร “ชนะ” ต้องมา “เสมอ” คะแนนหาย 2 คะแนน
ทำให้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมน้ามูถึงหัวเสียหลังจบเกมแล้วบอกว่าทีมตัวเองโชคร้ายที่สุดในลีก ยังดีที่ยังยับยั้งอารมณ์ไม่วิจารณ์ผู้ตัดสิน ถึงแม้ตัวเองจะ "อารมณ์บ่จอย" กับเรื่องนี้ก็ตาม
อย่างไรก็ตามถ้ามองอีกมุมสาวกของทะพอสูรแดงคงอุ่นใจขึ้นบ้างที่ทีมของตัวเองเล่นมีทรง ฝากความหวังไว้ได้
สุดท้ายขาดเพียงแค่ “ชัยชนะ” เท่านั้น ถือเป็นอีกเกมที่ดูยังไงก็น่าเสียดายครับ
โดย แบงค์ พิพัช