โลกสวยอาเซียน กับสัญญา "ซิโก้"
“สถิติมีไว้ให้ทำลาย ประวัติศาสตร์มีไว้ให้จารึก” ในที่สุดทัพ “ช้างศึก” ก็ทำได้พร้อมความสะใจของแฟนบอลไทยทั้งประเทศ
เริ่มตั้งแต่สถิติทีมที่แพ้นัดแรกไม่เคยกลับมาคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ แต่ทัพ “ช้างศึก” เราทำได้
ส่วน “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา ที่คว้าดาวซัลโวมา 2 สมัยก่อนหน้า ทว่าไม่เคยคว้าแชมป์ แต่ในครั้งนี้ก็สมหวังทั้งดาวซัลโว 3 สมัยคนแรกและถ้วยรางวัล
ด้าน “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธุ์ ก็ทำสถิติคว้ารางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกันได้เป็นคนแรก จากผลงานยอดเยี่ยมตลอดทัวร์นาเมนต์
ขณะที่ “ปีโป้” สิโรจน์ ฉัตรทอง ก็สามารถปลดล็อกยิงประตูให้ทัพ “ช้างศึก” ได้สำเร็จในเกมรอบตัดเชือก นัดสอง กับ เมียนมา ก่อนจะสวมบทฮีโร่ในนัดสุดท้าย ช่วยให้ ทีมชาติไทย ผงาดคว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 5 มากสุดในอาเซียน
นอกจากนี้ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ยังฝ่าแรงกดดันนำทัพ “ช้างศึก” คว้าแชมป์รายการนี้ได้สำเร็จเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน
ที่สำคัญคือนักเตะคนอื่นๆ และแฟนบอลทุกคน ที่มีส่วนทำให้ “ช้างศึก” ประสบความสำเร็จในศึก “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ” ครั้งนี้
ในเวที “อาเซียน” สำหรับ “ช้างศึก” ณ ชั่วโมงนี้ คงไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว เพราะเราได้ก้าวผ่านไปเรียบร้อย
เช่นเดียวกับผลงานการคุมทัพของ “ซิโก้” ในระดับอาเซียน นับตั้งแต่ได้รับความไว้วางใจจากสมาคมกีฬาฟุตบอลฯตลอดระยะเวลา 3 ปีเต็ม ได้ประกาศศักดาคว้าแชมป์มาเรียบวุธในทุกรายการ
แต่ในระดับเอเชียนั้น ยังเป็นเครื่องหมายคำถาม?
จริงอยู่ที่ “ซิโก้” สามารถนำพา “ช้างศึก” ก้าวเข้าไปโลดแล่นในศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก 12 ทีมสุดท้ายโซนเอเชีย แต่ต้องยอมรับว่ามีโชคตั้งแต่จับสลากร่วมกลุ่มที่มีเพียง อิรัก เป็นก้างชิ้นโต จึงคว้าตั๋วมาได้ไม่ยาก
ทว่าเมื่อเข้าสู่รอบสุดท้ายที่ต้องเจอเสือสิงห์กระทิงแรดของเอเชีย “ช้างศึก” ยังไม่สามารถเก็บชัยชนะได้เลย หลังออกสตาร์ตแพ้รวด 4 นัด ก่อนจะกู้ศรัทธาเสมอยักษ์ใหญ่อย่าง ออสเตรเลีย ได้ในเกมล่าสุด
เมื่อผลการแข่งขันไม่ได้ดั่งใจ ย่อมไม่แปลกที่จะถูกแฟนบอลวิพากษ์เป็นเรื่องปกติธรรมดา สรุปรวมความได้ว่า จากกระแสความนิยมชมชอบและเชื่อใจในฝีมือของ “ซิโก้” จากวันวานกับวันนี้นั้นไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
จากวันวาน “ซิโก้” ที่แทบจะเป็น “โค้ชเทวดา” ทำอะไรถูกใจได้ปลื้มไปหมด กลับกลายเป็น “เทวดาตกสวรรค์” โดนจวกยับแบบไม่น่าเชื่อ จนถึงขั้นตั้งประเด็นไล่ แต่คนที่ให้กำลังใจ “ซิโก้” ก็ยังมีอยู่มากมายเช่นกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่ต้องมีทั้งคนปลื้มและไม่ปลื้ม
อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ว่าจะให้ “ปลด” หรือเปลี่ยนแปลง “โค้ช” ในตอนนี้นั้น สำหรับผมยังคง “เห็นค้าน” หรือ “ไม่เห็นด้วย”
ผมไม่ได้ปลื้มหรือเป็น “ติ่ง” อะไรหรอกนะครับ แต่คิดว่าการที่จะปลดโค้ชหรือ “เปลี่ยนม้ากลางศึก” ในตอนนี้ไม่น่าจะใช่เวลาที่เหมาะสม หรือไม่น่าจะทำให้อะไรดีขึ้นแบบพลิกฝ่ามือ
สถานการณ์ยามนี้ ผมเห็นว่าสมควรให้ “ซิโก้” พิสูจน์ตัวเองกับภารกิจที่เหลืออยู่ในศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบ 12 ทีมสุดท้ายโซนเอเชีย อีก 5 นัด เหมือนเป็น “โบนัส” ที่สามารถป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ
ที่สำคัญ ทีมชาติไทย ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
5 นัดแรกในศึกคัดบอลโลกที่ผ่านมา ผมเห็นด้วยกับ “ซิโก้” ตรงที่ว่า “ช้างศึก” อาจจะโชคร้ายในเรื่องโปรแกรมพอสมควร เพราะได้เล่นในบ้านแค่ 2 เกมเท่านั้น แถมยังต้องเจอกับทีมเต็งจ๋าอย่าง ญี่ปุ่น กับ ออสเตรเลีย ที่ตีตั๋วไปฟุตบอลโลกเป็นประจำ
แต่ในปีหน้า 2560 ทีมชาติไทย จะมีเกมในบ้านให้ลุ้นถึง 3 นัด ที่จะได้ต้อนรับ ซาอุดีอาระเบีย, ยูเออี และ อิรัก ที่ “ช้างศึก” แพ้มาหมดแล้วในการเจอกันนัดแรก แต่ “ซิโก้” ประกาศออกมาว่าจะขอเอาแต้มคืนจากทีมพวกนี้ให้ได้ในบ้าน
ตรงนี้แหละครับที่ต้องให้ “ซิโก้” พิสูจน์ตัวเองว่าทำได้หรือไม่? หลังจากนั้นค่อยประเมินผลงานกันตอนจบทัวนาเมนต์ว่าจะให้เดินหน้าต่อหรือพอกันแค่นี้
เพราะถึงตรงนั้น “ซิโก้” จะ “สอบผ่าน” หรือ “สอบตก” ตัวเลขในตารางคะแนนไม่เคยโกหกใครครับ
จัดหนัก : เอ็ม