My liverpool By..มาร์ค สุรเดช
ความพ่ายแพ้เกมแรกในลีกของฤดูกาลนี้ ทำให้คะแนนของ ลิเวอร์พูล หยุดนิ่งอยู่ที่ 7 คะแนน และโดน 2 ทีมนำอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทิ้งห่างออกไปเป็น 5 คะแนน
อย่างไรก็ดีหากเรายังมองโลกในแง่ดีว่านี่เพิ่งจะผ่านไปเพียง 4 เกมเท่านั้น ยังเหลืออีก 34 เกมให้ได้กลับมาทำผลงานให้ดีขึ้น ลิเวอร์พูล ก็ยังไม่หมดโอกาสในการจะมองถึงการกลับคืนสู่ตำแหน่งแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศ ในรอบ 2 ทศวรรษ
หากเรามองย้อนกลับไปถึงความพ่ายแพ้ในแบบเดียวกันนี้ที่เกิดขึ้นเมื่อฤดูกาลก่อน ณ บริทานเนีย สเตเดี้ยม นั้น ลิเวอร์พูล ในช่วงเวลาภายใต้การคุมทีมของ รอย ฮอดจ์สัน มีสถานภาพในเกมที่แตกต่างไปจาก ลิเวอร์พูล ของ ดัลกลิช เมื่อวันเสาร์ชนิดหน้ามือกับหลังมือ
ฤดูกาลที่แล้ว ลิเวอร์พูล หมดสภาพที่รังของทีม “ช่างปั้นหม้อ” ด้วย สกอร์ 0-2 ขณะที่รูปเกมนั้น เจ้าบ้าน สโต๊ค เป็นฝ่ายที่กดดันผู้มาเยือนด้วยลูกโด่งห่าใหญ่ จนกางตำรารับแทบไม่ทัน
ส่วนเกมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ลูกทีมของ คิง เคนนี่ เป็นฝ่ายครองเกมบุกใส่เจ้าบ้าน พร้อมกับสร้างโอกาสทำประตูครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่สำเร็จกับการจะเปลี่ยนโอกาสมากมายเหล่านั้นให้เป็นประตู
และนั่นทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องพบกับความพ่ายแพ้ในลีกหนแรกของฤดูกาลนี้แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่สำคัญพวกเขายังไม่สามารถล้างอาถรรพ์ในการบุกมาเก็บชัย ณ สนามแห่งนี้ ให้ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีพรีเมียร์ลีก มา
ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ครองบอลของ “หงส์แดง” ตลอด ทั้งเกมนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 59 เปอร์เซ็นต์ โอกาสยิงอีกร่วม 20 ครั้ง เตะมุมอีก 12 หน ส่วนเจ้าบ้าน สโต๊ค มีโอกาสซัดเข้ากรอบแค่หนเดียวเท่านั้น แถมยังเป็นโอกาสเดียวในเกมของพวกเขา
แต่นั่นเป็นจังหวะสำคัญของเกมที่ จอน วอลเตอร์ส ซัดจุดโทษให้กับเจ้าบ้านขึ้นนำในนาทีที่ 21 และกลายเป็นประตูตัดสินเกมนี้ในท้ายที่สุด
แม้ว่าเกมนี้ ไรอัน ชอว์ครอสส์ เป้าหมายที่ ลิเวอร์พูล เล็งไว้ในการดึงมาเสริมแนวรับเมื่อช่วงซัมเมอร์ จะเล่นได้อย่างแข็งแกร่งทำให้ ลิเวอร์พูล เจาะไม่เข้า แต่ตัวแปรสำคัญที่สุดที่แท้จริงของเกมนี้กลับไปอยู่ที่ผู้ตัดสินในเกม มาร์ค แคล็ตเท่นเบิร์ก
โดย ในเกมนี้ แคล็ตเท่นเบิร์ก ปฏิเสธโอกาสที่น่าจะเป็นจุดโทษของ ลิเวอร์พูล ถึง 2 ครั้ง 2 ครา จากจังหวะแฮนด์บอลของ รอรี่ ดีแล็ป และ แม็ทธิว อัพสัน ซึ่งทำเอา เคนนี่ ดัลกลิช ถึงกับออกมาบ่นด้วยความผิดหวังกับการตัดสินของผู้ตัดสินรายนี้ ผู้ซึ่งไม่เคยได้ลงเป่าในเกมที่พวกเขาลงเล่นไม่ว่าเหย้า หรือ เยือน เป็นเวลากว่า 3 ปีครึ่งเลยทีเดียว
หลังเกมที่น่าผิดหวังในแง่ของผลการแข่งขันแล้ว ลิเวอร์พูล จะได้พักเต็มๆในช่วงกลางสัปดาห์หน้า ซึ่งฟุตบอลถ้วยของยุโรป จะกลับมาฟาดแข้งกันแล้ว โดยพวกเขามีโปรแกรมจะต้องยกพลลงใต้มาที่ ลอนดอน เพื่อหวดกับสัตว์ปีกด้วยกันอย่าง “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ และในเกมนั้นเราอาจจะได้เห็นการคัมแบ็กกลับมาของกัปตันทีมคนสำคัญนั่นคือ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ด้วย
วกกลับมาที่บรรดานักเตะเก่าๆของทีมกันบ้าง เพราะขณะที่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ เพลิดเพลินจำเริญใจกับการค้าแข้งให้กับ “กิเลนผยอง” เมือง ทอง ยูไนเต็ด ซี้เก่าของเขาอย่าง สตีฟ แม็คมานามาน มีโปรแกรมลงเล่นแมตช์การกุศลให้กับเพื่อนร่วมวงการอย่าง จอห์น ฮาร์ทสัน ที่ขณะนี้ป่วยด้วยโรคมะเร็งอยู่ โดยเกมนี้เตะกันที่สนาม ไพรด์ ปาร์ค และเป็นการพบกันระหว่างรวมดาราอดีตทีมชาติอังกฤษ ปะทะ รวมดาราอดีตทีมชาติเวลส์
ทั้งนี้ แม็คมานามาน เอง ได้สูญเสีย ไอรีน คุณแม่อันเป็นที่รักของเขาไปด้วยโรคมะเร็งเช่นกันในขณะที่เธออายุได้ 53 ปี ในปี 1999 ทำให้เขาตอบรับคำเชิญนี้ในทันที และ รายได้จากการทำการกุศลในหนนี้ส่วนหนึ่งจะบริจาคให้กับมูลนิธิเพื่อผู้ป่วย โรคมะเร็งของ จอห์น ฮาร์ทสัน
แม็คก้า และ ฮาร์ทสัน เคยเล่นฟุตบอลในยุคเดียวกัน และนอกจากนี้เมื่อทั้งคู่หันมาทำงานเป็นคอมเมนเตเตอร์ ก็ยังมาพบกันที่สถานีโทรทัศน์ เซตานต้า อีก ซึ่ง แม็คก้า กล่าวว่า เขาสังเกตแล้วว่า ฮาร์ทสัน น่าจะเจ็บป่วยตั้งแต่ได้เห็นจากการทำงานร่วมกันในครั้งนั้นแล้ว
ด้าน “ดีโน่” ดีน ซอนเดอร์ส อดีตกองหน้าผู้ย้ายจาก ดาร์บี้ เคาน์ตี้ มาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัวที่ถือเป็นสถิติของเกาะอังกฤษในปี 1988 ด้วยค่าตัว 2.9 ล้านปอนด์ และร่วมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ พร้อมกับ แม็คมานามาน ในปี 1992 ซึ่งถือเป็นโทรฟี่แชมป์รายการเมเจอร์รายการเดียวที่เขาเคยได้อีกด้วย โดยหลายคนอาจจะไม่ทราบว่าปัจจุบันเขาไปทำงานอะไรอยู่ และ ยังคลุกคลีกับวงการฟุตบอลเหมือนเดิมหรือไม่
ล่าสุดอดีตกองหน้าทีมชาติเวลส์ รายนี้ กำลังคุมทีม เร็กซ์แฮม อยู่ในคอนเฟอเรนซ์ ลีก และเขายอมรับว่า ได้อาศัยประสบการณ์ทั้งตอนสมัยที่เล่นให้กับ ลิเวอร์พูล บวกกับวิชาความรู้ที่เคยซึมซับจากการทำงานร่วมกับอดีตโค้ชอย่าง จอห์น โตแช็ค, แกรม ซูเนสส์ หรือ รอย อีแวนส์ นำมาถ่ายทอดให้กับลูกทีมซึ่งถือว่าได้ประโยชน์อย่างยิ่ง
ทั้งนี้ไม่ใช่แค่ “ดีโน่” ที่ผูกพันกับ ลิเวอร์พูล เพียงคนเดียว เพราะคุณพ่อของ “ดีโน่” เอง ก็เคยเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล มาก่อนในยุคเดียวกันกับ บิลลี่ ลิดเดลล์ และ บ็อบ เพลสลีย์ โดยค้าแข้งให้กับทีม “หงส์แดง” รวมระยะเวลาทั้งหมดกว่า 12 ปี มากกว่าที่ “ดีโน่” เคยใช้เวลาอยู่ในถิ่น แอนฟิลด์ เสียอีก
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หงส์ จ้อง ลูคัส, เอริคเซ่น
พูดถึงเกมกับ สเปอร์ส แล้ว ล่าสุดมีข่าวที่เกี่ยวข้องกับทั้งสองทีมนี้ออกมาด้วยว่าทั้ง 2 ทีม กำลังจับตามองนักเตะตำแหน่งกองกลางชาวบราซิเลี่ยนคนเดียวกันอยู่ โดยนักเตะรายนั้นมีนามว่า ลูคัส แต่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆกับ ลูคัส ที่อยู่กับ ลิเวอร์พูล อยู่แล้วในตอนนี้ แต่ ทั้งคู่เคยเก็บตัวร่วมกันมาแล้วในแคมป์ทีมชาติ ทำให้นี่อาจจะเป็นข้อได้เปรียบมากกว่าสำหรับ ลิเวอร์พูล ที่จะสอยตัวมิดฟิลด์ดาวรุ่งวัยเพียง 19 ปีมาที่ถิ่นแอนฟิลด์ แต่มีข่าวแว่วมาเช่นกันว่า อินเตอร์ มิลาน แห่ง อิตาลี ก็พร้อมจะทุ่มดึงตัว ลูคัส ไปที่ ซาน ซิโร่ ด้วยค่าตัวกว่า 15 ล้านปอนด์
นอกเหนือจาก ลูคัส คนใหม่แล้ว “หงส์แดง” ยังไม่ละสายตาจากดาวรุ่งอีกรายชาวเดนิช นามว่า คริสเตียน เอริคเซ่น วัย 19 ปี โดยดาวรุ่งผู้นี้ได้รับการยกย่อง และ ถูกจับตาว่าน่าจะเป็น 1 ในสุดยอดนักเตะของเจเนเรชั่นต่อไป
ทั้งนี้ตัวของ เอริคเซ่น เอง เคยออกมายอมรับด้วยว่า เขาคิดว่า ลิเวอร์พูล เป็น 1 ในหลายทีมใหญ่ของยุโรป ที่ต้องการดึงตัวเขาไปยัง แอนฟิลด์ อย่างไรก็ดีเจ้าตัวก็เพิ่งจะให้สัมภาษณ์ล่าสุดไปว่า เขายังจะไม่ย้ายไปไหนทั้งสิ้นในช่วง 2-3 ปีนับจากนี้ โดยจะขอปักหลักเล่นฟุตบอลกับ ไอแอ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม แบบไม่เร่งรีบ และหากถึงเวลาที่ต้องย้ายทีมจริงๆ นั้น เขามองว่าการไปเล่นในลีกสเปน น่าจะเหมาะสมกับสไตล์การเล่นฟุตบอลของเขามากกว่าทุกแห่ง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอร์เรส ล้มเหลวที่ เชลซี ?
แน่นอนว่าเมื่อพิจารณาจากค่าตัวตอนย้ายจาก ลิเวอร์พูล ไปสู่ เชลซี ด้วยค่าตัวมหาศาลกว่า 50 ล้านปอนด์แล้ว ตอร์เรส ยังถือว่าทำผลงานได้น่าผิดหวังเมื่อเทียบกับจำนวนประตูที่เขาทำได้กับต้น สังกัดใหม่
ล่า สุดในเกมที่ เชลซี ไปเยือน ซันเดอร์แลนด์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตอร์เรส ซึ่งกำลังจะถูกสอบสวนภายในทีม เชลซี เองถึงการที่เขาถูกกล่าวหาว่าไปสัมภาษณ์แนววิพากษ์วิจารณ์เพื่อนร่วมทีมใหม่ ทั้งในแง่ของการแบ่งก๊กแบ่งเหล่า โดนดร็อปเป็นแค่ตัวสำรองเท่านั้น ทั้งๆที่ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ยังอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ ทว่ากุนซือหนุ่มแห่ง เชลซี นามว่า อังเดร วิลลาส โบอาส ก็ตั้งใจที่จะให้โอกาสในการลงเล่นตัวจริงกับกองหน้าดาวรุ่งอย่าง ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ แทนที่จะเป็นดาวยิงแห่งทีมชาติสเปน ยิ่งไปกว่านั้น ประตูของ สเตอร์ริดจ์ เหมือนจะตอกย้ำให้เห็นว่า วิลลาส โบอาส ตัดสินใจไม่ผิดจริงๆที่เลือกใช้บริการของดาวยิงผิวสีอย่างเขา
ทั้งนี้สื่อที่อังกฤษ มองว่า วิลลาส โบอาส คงยังไม่ตัดหางปล่อยวัด หรือ ไม่สนใจใยดีกับ ตอร์เรส และอาจจะให้โอกาสลงสนามเป็นตัวจริงกับอดีตเด็กหงส์รายนี้ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก กลางสัปดาห์ ที่ทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” จะฟาดแข้งกับทีม “นายห้างขายยา” ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น