ชีวิตที่เปลี่ยนไปของอเดบายอร์
ชีวิตของเอ็มมานูเอล อเดบายอร์เปลี่ยนไปตลอดกาลหลังเหตุการณ์เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2010 และเขาตัดสินใจว่าจะใช้ทุกนาทีของชีวิตหลังจากนั้นอย่างมีความสุข
“เช้าวันที่ 8 มกราเราตื่นขึ้นมาเพื่อเดินทางไปแข่งแอฟริกัน เนชั่นส์คัพ เราเริ่มต้นด้วยการร้องเพลงเฮฮากันในรถ และลงเอยด้วยการอุ้มร่างไร้วิญญาณกลับบ้าน วันที่ 8 มกราคม 2010 ชีวิตของคนชี่อเอ็มมานูเอล อเดบายอร์อาจจะจบลงไปแล้วก็ได้ หลังจากผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมาคุณจะเริ่มคิดว่าคุณเหมือนได้ชีวิตใหม่อีกครั้ง คุณต้องใช้มันให้คุ้มค่า”
ที่เมืองคาบินดาของแองโกลา กลุ่มแบ่งแยกดินแดนได้ดักซุ่มโจมตีรถบัสของทีมชาติโตโกทันทีที่เดินทางข้ามพรมแดนสาธารณรัฐคองโกมา ด้วยการใช้ปืนกลระดมยิงเข้าไปที่ตัวรถ จนทำให้คนขับ, โฆษกของทีม และผู้ช่วยโค้ชเสียชีวิต ขณะที่อีกหลายคนได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะโคโจวี่ โอบิลาเล่ ผู้รักษาประตูสำรอง ซึ่งต้องจบชีวิตการเล่นลงจากเหตุการณ์นี้
ในช่วง 30 นาทีที่น่าสะพรึงนี้ นักเตะในรถต้องหมอบหนีตายกันอย่างสุดชีวิต ขณะที่หน่วยคุ้มกันยิงตอบโต้กับกลุ่มกบฏกว่าทุกอย่างจะสงบลง มันคือช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายที่อเดบายอร์ได้ตระหนักว่าเขาควรจะให้ความสำคัญกับอะไรในชีวิต
“ตอนนั้นผมคิดได้ว่าถ้าถึงคราวของคุณ คุณก็ต้องตาย คุณไม่มีทางหนีพ้น ถ้าคุณจะตายคุณก็ตาย เพราะคนที่ถูกยิงนั่งอยู่ข้างหน้าผมแค่สองแถว มันอาจจะเป็นผมก็ได้ การโต้เถียงกันเรื่องทำไมคุณไม่ยิงประตู ทำไมคุณไม่ส่งบอลมา มันจบแล้ว”
“บางครั้งเราเถียงกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีสาระอะไร ตอนที่ผมตระหนักว่าอยู่ใกล้ความตายแค่ไหน ผมบอกกับตัวเองว่า เอาล่ะอเดบายอร์ เรื่องโต้เถียงไร้สาระทุกอย่างไม่มีค่าพอเลยซักนิด แค่ใช้ชีวิตให้มีความสุขก็พอแล้ว”
ถ้าเป็นอเดบายอร์คนเดิม เขาคงจะโกรธและอยากแก้แค้น แต่อเดบายอร์คนใหม่ทำใจให้ปล่อยวางกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้แล้ว
“ผมไม่ได้โกรธเลย ผมจะโกรธได้ยังไงล่ะ? นี่คือส่วนหนึ่งของชีวิต ผมอาจจะนอนอยู่ในหลุมศพที่ไหนซักแห่งแล้วก็ได้ แต่ผมก็ยังมีชีวิตอยู่มานั่งคุยได้อย่างตอนนี้ ผมไม่โกรธเลย มันเป็นแค่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาระหว่างเส้นทางชีวิตของผม”
“ผมสงสารผู้รักษาประตูของเราและทีมงานทุกคนที่เสียชีวิตจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้ แต่มันคือส่วนหนึ่งของชีวิต จากวันนั้นมาผมบอกกับตัวเองว่าทุกนาทีต่อจากนี้ผมจะใช้มันอย่างมีความสุข ผมจะสนุกกับการใช้ชีวิต ผมเคยอยู่ใกล้ความตายมาแล้ว”
ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาปล่อยวางกับเรื่องภายนอกทุกอย่าง และหันมาให้ความสำคัญกับสิ่งที่มีความหมายสำหรับเขา นั่นคือครอบครัวและฟุตบอล แต่เขาก็จะไม่ปล่อยให้ฟุตบอลมามีอิทธิพลเหนือชีวิตของเขาจนไม่มีความสุข
หัวหอกวัย 27 ปีชาวโตโกย้ายจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ไปร่วมทีมสเปอร์สก่อนการปิดตลาดซื้อขายนักเตะของซัมเมอร์นี้ หลังจากต้องเจอกับชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ในถิ่นอีสต์แลนด์
ความไม่ลงรอยกันระหว่างอเดบายอร์กับโรแบร์โต้ มันชินี่ ผู้จัดการทีมเรือใบสีฟ้า ทำให้เขาถูกยืมตัวไปเล่นกับเรอัล มาดริดของโจเซ่ มูรินโซ่ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลก่อน และฤดูกาลนี้ก็เป็นสเปอร์สที่เขาเลือกจะมาอยู่ด้วยในแบบยืมตัวอีกครั้ง
แม้จะเคยถูกแฟนบอลสเปอร์สตะโกนด่าทอหรือร้องเพลงเสียดสีต่างๆ นานา ในฐานะที่เป็นอดีตนักเตะทีมคู่ปรับอย่างอาร์เซนอล เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีกแล้ว แม้จะถูกโจมตีทางทวิตเตอร์อย่างเปิดเผย นั่นก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ การขัดแย้งกับโรแบร์โต้ มันชินี่ก็ไม่สำคัญ สื่อจะคิดยังไงก็ไม่สำคัญ สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือการได้เล่นฟุตบอล
นั่นคือเหตุผลที่เขาตัดสินใจย้ายมาสเปอร์ส หลังจากรู้ว่าไม่มีอนาคตกับแมนฯ ซิตี้แล้ว เริ่มจากการถูกยึดเสื้อเบอร์ 25 ที่เป็นเลขโปรดไป ตามด้วยการไม่ถูกใส่ชื่อไว้ในทีมชุดใหญ่ ถูกส่งไปเล่นกับทีมอื่นแบบยืมตัว หรือแม้แต่ถูกสั่งให้ไปซ้อมกับทีมเยาวชน
แต่ตอนนี้เขาย้ายมาอยู่ที่ไวท์ฮาร์ทเลนแล้ว เรื่องพวกนั้นไม่สำคัญอีกแล้ว
“ฟังนะ ผมไม่มีอะไรต้องพิสูจน์ให้ใครเห็นทั้งนั้น วันนี้ทุกคนในอังกฤษรู้แล้วว่าผมทำอะไรได้บ้าง ผมแสดงให้เห็นแล้วทั้งกับอาร์เซนอลและแมนฯ ซิตี้ ผมจะแสดงให้เห็นอีกกับสเปอร์ส”
“เชื่อผมเถอะ ผมเชื่อมั่นในตัวเอง ผมมาไกลมากแล้ว จากประเทศที่เล็กที่สุดประเทศหนึ่งในโลก จนมาอยู่ในจุดที่ผมอยู่อย่างทุกวันนี้ได้ ผมไม่ได้โชคดี แต่ผมได้รับพรจากพระเจ้า”
และถ้าเขาไม่ได้เป็นตัวเลือกอันดับแรกที่ไวท์ฮาร์ทเลน ถ้าเขาต้องลงเอยด้วยการนั่งอยู่ข้างสนามแบบเดียวกับที่เบอร์นาบิว เขาก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรอีกแล้ว
“ไม่เอาน่า เราเป็นนักฟุตบอลนะ ถ้าคุณมีโอกาสลงเล่นซัก 10 นาที คุณก็ลงไปสนุกกับมัน ตอนที่คุณอายุยังน้อยและยังไม่ได้ผ่านอะไรมามากพอ คุณอาจจะไม่เข้าใจเรื่องนี้”
“ตอนผมอยู่ที่มาดริด มีบางเกมที่ผมก็ไม่ได้ลงเล่น และเมื่อไรก็ตามที่ผมได้ลงสนาม ผมก็จะยิ้มรับ บางครั้งคุณต้องยอมรับว่านักเตะบางคนมีฟอร์มที่ดีกว่าคุณ”
“ถ้าแฮร์รี่ เรดแนปป์บอกผมว่าผมจะไม่ได้ลงเล่น ผมก็ยินดีจะนั่งอยู่ข้างสนามด้วยความเต็มใจ เพราะผมยังมีชีวิตอยู่ นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า ผมยังมีร่างกายที่สมบูรณ์ ผมยังตื่นขึ้นมาด้วยสองตาที่มองเห็นและสองมือที่ยังทำงานได้”
“เราตื่นขึ้นมาเมื่อวันที่ 8 มกราเพื่อเดินทางไปแข่งแอฟริกัน เนชั่นส์คัพ เราร้องเพลงเฮฮากันไปในรถ แต่สุดท้ายต้องอุ้มร่างไร้วิญญาณของคนในทีมกลับบ้าน การได้ลงเล่นซัก 10 หรือ 20 นาทีไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย เมื่อเทียบกับชีวิตของคุณ”
เรื่องโดย "เบบี้ แบร์"
ขอบคุณคอลัมน์ ฟุตบอลผู้ดี นสพ.กีฬาฮอตสกอร์