วิถีของ‘ปีเตอร์ รีด’
ท่านจำกุนซือของทีมชาติไทยที่ชื่อ ปีเตอร์ รีด ได้หรือไม่ขอรับ
เชื่อเหลือเกินว่า จะต้องจำได้อย่างแน่นอน
อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษ และเอฟเวอร์ตัน เข้ามาคุมทีมชาติไทย ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2008 ไปจนถึง 9 กันยายน 2009
ก่อนจะกลับอังกฤษไปแบบไม่ยอมกลับมา
ขนาด “บังยี” วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ไปตามถึงถิ่น แกก็ยังยืนว่า ไม่กลับมา
พร้อมกับไปรับงานเป็น “มือขวาสามัคคี” ของ โทนี่ พูลิส กุนซือ “ช่างปั้นหม้อ” สโต๊ค ซิตี้ อย่างหน้าตาเฉย
ตอนนั้น รีด เข้ามาทำงานกุนซือไทย หลังจากที่ "อาจารย์หรั่ง" ชาญวิทย์ ผลชีวิน ตัดสินใจ "ไขก๊อก" เพราะประสบความไม่สำเร็จในการคุมทัพในศึกบอลโลก รอบคัดเลือก 2010
หลังจากมีประเด็นกันว่า จะนำใครมาคุมทีมแทน หากเลือกของไทยแบบเดิมๆ ก็กลัวว่า จะไม่ถูกใจน้อง และจะกลายเป็นหมองใจพี่
หวยจึงไปออกที่ "โค้ชนอก"อีกครั้ง
หลายๆ ชื่อละลานตาเข้ามาโดยเฉพาะ โบร่า มิลูติโนวิช ยอดกุนซือที่เคยนำสารพัดทีมเข้าเล่นฟุตบอลโลกได้ถึง 5 สมัย แต่สุดท้ายหวยไปออกที่ ปีเตอร์ รีด
ซ้ำรอยของ ปีเตอร์ วิธ ผู้พาทีมไทยคว้าเหรียญทองแดงในเอเชียนเกมส์ 2 สมัย
ปีเตอร์ รีด มีสัญญากับไทย 4 ปี นั่นหมายความว่าตัวเขาจะหมดสัญญาลงในปี 2012 ซึ่งเป็นช่วงคัดเลือกบอลโลก 2014 พอดี
แต่สุดท้ายเขาก็อยู่แค่ปีเดียวเท่านั้น
มีแอบกระซิบว่า “ทนไม่ไหวจะทนทำไม” ไม่รู้ว่าจากเหตุผลอะไร รีด ก็เลยหนีกลับบ้านไปซะฉิบ
หลังจากนั้นไม่นาน รีด ตัดสินใจโดดไปรับงานเป็นกุนซือของ “เรือสำเภา” พลีมัธ อาร์ไกล์ ที่เล่นอยู่ในลีก วัน เมื่อกลางปี 2010
ถือเป็นการกลับมาคุมทัพทีมในอังกฤษอย่างเต็มตัวอีกครั้ง หลังจากที่เขายุติการทำงานในตำแหน่งกุนซือเมื่อปี 2005 กับ “ช้างกระทืบโรง” โคเวนทรี ซิตี้
แต่เส้นทางของคนนั้นไม่ได้ลาดยางไว้ทั้งหมดจริง ๆ
รีด ทำทีมตั้งแต่ต้นซีซั่น แต่ทำไปทำมา ทีมกลับหัวปักตกชั้น ได้รองบ๊วยของลีก วัน ต้องมาเล่นลีก ทู ทั้งที่สองซีซั่นก่อนยังอยู่เดอะ แชมเปี้ยนชิพ แท้ ๆ
ล่าสุด รีด ต้องกระเด้งกระเด็นเป็นลูกชิ้นนายใบ้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากออกสตาร์ตคุมทัพซีซั่นนี้ด้วยผลงาน 9 นัดแรก
มีแค่คะแนนเดียว!
เสมอ 1 แพ้ไปถึง 8 ลงไปกองบ๊วยของลีก ทู สุ่มเสี่ยงต่อการหล่นไปอยู่ลีกสมัครเล่น
ผลงานแบบนี้บอร์ดบริหารทนไม่ไหว ต้องยื่นซองขาวให้ รีด พร้อมกับแต่งตั้งให้ คาร์ล เฟล็ทเชอร์ ดาวเตะทีมชาติเวลส์ อดีตแข้งเวสต์แฮม และคริสตัล พาเลซ ที่ไม่มีประสบการณ์ในการคุมทัพเลยขึ้นมาคุมทัพแทน
ด้วยอายุแค่ 31 ปีเท่านั้น
เส้นทางของคนมันเป็นแบบนี้จริงๆ รีด เคยยิ่งใหญ่กับเอฟเวอร์ตัน เป็นตัวหลักทีมชาติอังกฤษ และเคยคุมทัพ ซันเดอร์แลนด์ ติดท็อปทรีของพรีเมียร์ลีก
อนิจจา....มันเหมือนกับ “รัก” ที่ไม่ช่วยอะไรเลย
อดีตไม่สำคัญปัจจุบันต้องมาก่อน...จริงๆ!!!!
เรื่องโดย "บี แหลมสิงห์"
ขอบคุณคอลัมน์ may i come in please นสพ.กีฬาฮอตสกอร์