เวร รูนี่ย์!!!
อังกฤษคว้าตั๋วไปแข่งยูโร 2012 ที่โปแลนด์และยูเครนได้สมใจ หลังบุกไปเสมอมอนเตเนโกร 2-2 ในเกมสุดท้ายของทีมในกลุ่มจี
แต่หนึ่งคะแนนที่เพียงพอต่อการการันตีแชมป์กลุ่มครั้งนี้ก็มีรอยด่างจากใบแดงของเวย์น รูนี่ย์ สตาร์หมายเลขหนึ่งของทีมจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งยังมีปัญหากับการควบคุมอารมณ์อยู่เช่นเดิม แม้จะลดๆ ลงไปได้เยอะแล้วในช่วงหลังๆ
และนี่คือบางส่วนของช่วงเวลาที่เขาแสดงให้เห็นถึงการไม่บริหารความโกรธของตัวเองทั้งกับสโมสรและทีมชาติ
17 พฤศจิกายน 2004
ถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 42 ของเกมอุ่นเครื่องระหว่างสเปนกับอังกฤษที่มาดริดหลังจากทำฟาวล์หนักๆ หลายครั้ง เขาแสดงความไม่พอใจด้วยการพ่นคำผรุสวาทเมื่อออกมาที่ข้างสนาม พร้อมทั้งถอดปลอกแขนที่ใส่เพื่อระลึกถึงเอมลิน ฮิวจ์ส อดีตนักเตะดังผู้ล่วงลับ ขว้างลงบนพื้น
7 กันยายน 2005
ในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกระหว่างอังกฤษกับไอร์แลนด์เหนือที่เบลฟาสต์ รูนี่ย์ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่และชักศอกใส่คีธ กิลเลสพีในช่วงท้ายครึ่งแรกจนถูกใบเหลือง ซึ่งทำให้เขาติดโทษแบนในเกมต่อไป และหลังจากเข้าบอลหนักใส่คู่ต่อสู้อีกครั้ง แต่ยังโชคดีที่ไม่โดนใบเหลืองใบที่สอง เดวิด เบ็คแฮม กัปตันทีมสิงโตคำราม ก็รีบเข้ามาเตือนแต่กลับถูกหมูรูนตวาดใส่ว่า “f*** off” และระหว่างเดินกลับเข้าห้องแต่งตัวในช่วงพักครึ่ง ริโอ เฟอร์ดินานด์ เพื่อนรุ่นพี่จากแมนฯ ยูไนเต็ด ก็เข้ามาปรามอีกคน แต่ถูกรูนี่ย์ผลักออกไปอย่างไม่สนใจและสบถใส่ด้วยคำเดิมอีกครั้ง
14 กันยายน 2005
ถูกไล่ออกจากการปรบมือประชดกรรมการที่แจกใบเหลืองให้จากการทำฟาวล์คู่ต่อสู้อย่างไม่ตั้งใจ ในระหว่างเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกกับบีญาร์เรอัล
1 กรกฎาคม 2006
ถูกไล่ออกในเกมฟุตบอลโลกรอบ 8 ทีมสุดท้ายระหว่างอังกฤษกับโปรตุเกส จากจังหวะที่ดูเหมือนจงใจย่ำลงไปที่โคนขาหนีบของริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ และยังผลักคริสติอาโน่ โรนัลโด้ เพื่อนร่วมทีมแมนฯ ยูไนเต็ดในตอนนั้น เพราะไม่พอใจที่พยายามฟ้องกรรมการ
4 สิงหาคม 2006
ถูกไล่ออกในทัวร์นาเมนต์อุ่นเครื่องที่อัมสเตอร์ดัมเพราะกางศอกใส่เปเป้ กองหลังปอร์โต้ ในจังหวะขึ้นเล่นลูกโหม่ง ทำให้ถูกเอฟเอสั่งแบนห้ามแข่งฟุตบอลในประเทศ 3 นัด
26 ตุลาคม 2008
จูบตราบนอกเสื้อของแมนฯ ยูไนเต็ดระหว่างการกลับไปเยือนเอฟเวอร์ตันที่กูดิสัน ปาร์ค เพื่อตอบโต้กองเชียร์ทีมเก่าที่โห่ใส่ หลังจากที่เขารับใบเหลืองไปในเกมนี้ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันก็ตัดสินใจเปลี่ยนตัวเขาออก
21 มีนาคม 2009
โดนใบเหลืองใบที่สองในช่วงท้ายเกมที่แมนฯ ยูไนเต็ดตามหลังฟูแล่มอยู่ 0-2 ที่คราเวน ค็อทเทจจากการขว้างบอลทิ้ง รูนี่ย์ระเบิดอารมณ์ด้วยการด่าใส่ผู้ตัดสินฟิล ดาวด์ชุดใหญ่ก่อนเดินออกจากสนาม และยังชกธงที่มุมสนามเพื่อระบายอารมณ์ด้วย
7 มิถุนายน 2010
ในเกมอุ่นเครื่องก่อนฟุตบอลโลกนัดสุดท้ายของอังกฤษกับทีมแพลทินั่ม สตาร์สที่แอฟริกาใต้ รูนี่ย์ถูกกล่าวหาว่าแว้ดใส่ผู้ตัดสินในระหว่างเกม ซึ่งภายหลังเขาออกมาขอโทษและมอบเสื้อให้กรรมการเพื่อชดเชยความผิด
18 มิถุนายน 2010
พูดใส่กล้องทีวีว่า “เยี่ยมไปเลยที่ได้เห็นแฟนบอลของเราโห่ทีมตัวเอง” หลังจากอังกฤษโชว์ฟอร์มได้น่าผิดหวังในเกมฟุตบอลโลกรอบแรกนัดที่เสมอแอลจีเรีย 0-0
26 กุมภาพันธ์ 2011
ชักศอกใส่เจมส์ แม็คคาร์ธี่ มิดฟิลด์ของวีแกน ในระหว่างเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่แมนฯ ยูไนเต็ดบุกไปชนะ 4-0 ที่ดีดับเบิ้ลยู สเตเดี้ยม แต่รอดตัวจากการถูกลงโทษจากเอฟเอในภายหลัง เพราะมาร์ค แคลทเทนเบิร์ก ผู้ตัดสินในนัดนี้ บอกว่าเขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
4 เมษายน 2011
สบถใส่กล้องทีวีหลังทำแฮตทริกได้ในชัยชนะ 4-2 เหนือเวสต์แฮมที่อัพตัน ปาร์คหลังจากโดนนำไปก่อน 2-0 ทำให้โดนเอฟเอตั้งข้อหาเอาผิดฐานใช้คำพูดไม่เหมาะสม และถูกแบน 3 นัดจนพลาดเกมเอฟเอคัพรอบรองชนะเลิศกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งแมนฯ ยูไนเต็ดแพ้ไป 0-1
7 ตุลาคม 2011
ขณะที่อังกฤษนำมอนเตเนโกรอยู่ 2-1 ในเกมยูโรรอบคัดเลือกนัดสุดท้ายที่สิงโตคำรามต้องการแค่เสมอเพื่อการผ่านเข้ารอบ รูนี่ย์ไปเตะมิโอแดร็ก ซูโดวิซอย่างไม่จำเป็นจนโดนควักใบแดงไล่ออก และกลายเป็นนักเตะอังกฤษเพียงแค่คนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่โดนใบแดงถึง 2 ครั้งต่อจากเดวิด เบ็คแฮม และใบแดงในเกมนี้ยังหมายถึงว่าเขาจะหมดสิทธ์ลงเตะรอบสุดท้ายนัดแรกเป็นอย่างน้อยด้วย
เรื่องโดย "ดามัน"
คอลัมน์ ทดเจ็บ3นาที นสพ.กีฬาฮอตสกอร์