My Liverpool by มาร์ค สุรเดช
กลับมาเจอกันอีกครั้งในสัปดาห์นี้ ซึ่งเชื่อว่าถึงเวลานี้หลายๆคนคงจะได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ของบ้านเรากันไม่มากก็น้อย ผมเอง และ ทีมงานของฮอตสกอร์คนอื่นๆคงมีความรู้สึกไม่แตกต่างจากเพื่อนๆ และเราก็ขอส่งกำลังใจไปยังผู้อ่านของเราว่า เราจะผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปด้วยกันครับ
เช่นเดียวกับความรู้สึกของแฟนบอลของทีม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่ทีมรักของตัวเองกลับมาทำผลงานได้ดีขึ้น หลังจากในเกมลีก 2 เกมล่าสุดก่อนหน้านี้ พวกเขาสมควรจะได้ 6 คะแนนเต็มๆมากกว่าการเก็บได้เพียง 2 คะแนน และต้องรั้งอยู่ในอันดับ 6 ของตารางคะแนน
ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ มีสภาพทีมที่ถือว่าพร้อมสำหรับการลุ้นความสำเร็จ 3 รายการในประเทศของตัวเอง โดยเฉพาะในถ้วยคาร์ลิ่ง คัพ ที่พวกเขาผ่านเข้าสู่รอบที่ 5 หรือว่ารอบ 8 ทีมสุดท้ายไปได้ตั้งแต่กลางสัปดาห์แล้ว หลังจากที่บุกไปชนะทีมที่ต่อกรด้วยยากอย่าง สโต๊ค ซิตี้ ล้างอาถรรพ์ที่ไม่เคยบุกชนะที่ บริทานเนีย ได้เลยนับตั้งแต่ทีม “ช่างปั้นหม้อ” เลื่อนชั้นขึ้นมาสู่พรีเมียร์ลีก
หลายท่านอาจจะทราบแล้วว่าด่านต่อไปของ ลิเวอร์พูล ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายในถ้วย คาร์ลิ่ง คัพ นั้น พวกเขาต้องเจอกับงานหนักเลยทีเดียวเมื่อจะต้องยกพลไปเยือน เชลซี ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน โดยเป็น 1 ใน 2 คู่ของรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่ทีมจากพรีเมียร์ลีกต้องมาปะทะกันเอง ซึ่งอีกคู่ที่ว่านั้นก็คือเกมที่ “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล จะเปิดบ้านรอพบกับทีม “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้
เคนนี่ ดัลกลิช อาจจะประสบความสำเร็จได้แชมป์ลีกสูงสุด กับ เอฟเอ คัพ ร่วมกับ ลิเวอร์พูล แต่ในรายการนี้ เขายังไม่เคยพา “หงส์แดง” ได้แชมป์เลย โดยดีที่สุดคือการพาทีมผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับ อาร์เซน่อล ในปี 1987 ก่อนจะเป็นฝ่ายแพ้ไปด้วยสกอร์ 1-2
และครั้งสุดท้ายที่ ลิเวอร์พูล ได้พบกับ เชลซี ในรายการนี้ เกิดขึ้นในปี 2007 ที่สนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์ เช่นเดียวกัน โดยหนนั้น เชลซี เป็นฝ่ายเอาชนะไปด้วยสกอร์ 2-0 จากประตูของ อังเดร เชฟเชนโก้ และ แฟร้งค์ แลมพาร์ด
อย่างไรก็ดีหลังจากผ่านเกมในศึกบอลถ้วย ลูกทีมของ “คิง เคนนี่” เคนนี่ ดัลกลิช ก็ต้องกลับมามุ่งมั่น และ ตั้งสมาธิกับการทำผลงานให้ดีในลีก โดย 2 เกมก่อนนี้ พวกเขาเล่นได้ดี มีโอกาสยิงประตูมากมาย แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ นอริช ซิตี้ แบ่งคะแนนกลับออกไปจากแอนฟิลด์ ชนิดๆที่เหล่า เดอะ ค็อป ได้แต่บ่นเสียดายกัน
ทว่าก่อนเกมที่จะต้องบุกไปเยือนรัง เดอะ ฮอว์ธอร์น ของ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน นั้น กุนซือใหญ่ชาวสก็อตต์ ก็ต้องเจอเรื่องปวดหัวเมื่อ 2 ดาวเตะแกนหลักและยังเป็นลูกหม้อของทีมอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด รวมถึง เจมี่ คาร์ราเกอร์ กลับมีอาการบาดเจ็บจนลงสนามไม่ได้พร้อมกัน โดยรายของ เจอร์ราร์ด มีอาการติดเชื้อ ขณะที่ คาร์ราเกอร์ นั้นได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อน่อง
นั่นทำให้ 11 ตัวแรกที่ ดัลกลิช ส่งลงสนามที่บ้านของ “เดอะ แบ็กกีส์” จึงออกมาเป็นดังนี้คือ ผู้รักษาประตู เป็น เปเป้ เรน่า ขณะที่แผงหลัง 4 คนหน้ากระดานประกอบด้วย เกล็น จอห์นสัน, ดาเนี่ยล แอ๊กเกอร์, มาร์ติน สเคอร์เทล และ โฆเซ่ เอ็นริเก้
ต่อที่แดนกลาง คิง เคนนี่ เลือกใช้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ลูคัส, ชาร์ลี อดัม และ สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง ลงมาประสานงาน และสร้างเกมสู้กับเจ้าถิ่น ส่วนกองหน้าเกมนี้ใช้ระบบกองหน้าคู่ โดยเป็น แอนดี้ คาร์โรลล์ ลงมาจับคู่กับ หลุยส์ ซัวเรซ
ส่วนขุนพลที่ม้านั่งสำรองข้างสนามนั้นประกอบด้วย อเล็กซานเดอร์ โดนี่, เซบาสเตียน โคอาเตส, จอห์น ฟลานาแกน, มักซี่ โรดริเกวซ, เจย์ สเปียริ่ง, เดิร์ก เค้าท์ และ เคร็ก เบลลามี่
ในเกมนี้ ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายที่ครองเกมได้เหนือกว่า โดยสัดส่วนในการครองบอลของพวกเขามากถึง 56 เปอร์เซนต์เฉลี่ยทั้งเกม และเมื่อเวลาผ่านไปเพียง 9 นาที ยอดทีมจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ ก็ได้ลูกโทษเมื่อ หลุยส์ ซัวเรซ โดน เฌอโรม โธมัส ทำฟาวล์ และเป็น ชาร์ลี อดัม รับทำหน้าที่สังหารจุดโทษเข้าไปไม่พลาด
แท็กติกที่ รอย ฮอดจ์สัน วางไว้ให้ลูกทีมเล่นดูเหมือนจะให้ถอยมารับต่ำ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะมีปัญหาในการรับมือกับผู้มาเยือนไม่น้อย นักเตะของ ลิเวอร์พูล ครองบอล และแย่งบอลกันได้คล่องแคล่วกว่า
ก่อนหมดครึ่งแรก 5 นาที โอกาสแบบหวังผลครั้งแรกของนักเตะเจ้าบ้าน ถึงจะเกิดขึ้นจาก ปีเตอร์ โอเด็มวินกี้ แต่ก็ได้แค่ลุ้นเท่านั้น
และเมื่อไม่ได้ เดอะ แบ็กกีส์ กลับเป็นฝ่ายที่ต้องมาสังเวยประตูที่ 2 ให้กับทีมเยือน โดย หลุยส์ ซัวเรซ ยังคงร่ายมนตร์ต่อไป แม้จะไม่ได้มีชื่อเป็นผู้ทำประตูนี้ แต่ก็เป็นดาวเตะชาวอุรุกวัยที่ป้อนบอลให้กับคู่ขาของเขาอย่าง แอนดี้ คาร์โรลล์ หลุดเข้าไปซัดบอลสวนตัวของ เบน ฟอสเตอร์ นายทวารเจ้าถิ่น ให้ ลิเวอร์พูล นำอยู่ด้วยสกอร์ 2-0 เมื่อจบครึ่งเวลาแรก
เข้าสู่ครึ่งหลัง รอย ฮอดจ์สัน แก้แกมกลับมาใหม่ ทำให้ทีมของเขาดูเล่นได้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพออยู่ดีสำหรับเจ้าบ้าน แถมหวิดจะโดนยิงเพิ่มเป็น 3-0 ด้วยซ้ำหากลูกยิงมุมแคบหักข้อของ สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง จะไม่ไปชนเสาดังโครมออกมาเสียก่อน
3 คะแนนในเกมนี้ ทำให้ ลิเวอร์พูล ยึดอันดับ 5 ไว้ได้หลังจากผ่านวันเสาร์ แต่ทว่าหลังจากเกมที่ สเปอร์ส จัดการจิก คิวพีอาร์ ในเกม ลอนดอน ดาร์บี้ คืนวันอาทิตย์ ก็ทำให้ “หงส์แดง” ต้องหล่นกลับไปอยู่ที่ 6 ตามเดิม
เรื่องโดย "มาร์ค สุรเดช"
คอลัมน์ my liverpool นสพ.กีฬาฮอตสกอร์