ลมหายใจของ‘โบอาส’!!!!!!
เหมือนยกภูเขาออกจากอก เหมือนกับยกครกพ้นสากกะเบือ! “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ที่กำลังถูกจับจ้องมองตาจากการทำงานของ อังเดร วิลลาส-โบอาส กุนซือหนุ่มกระทง กับนักเตะแก่กระทิง ที่ช่วงหลังเริ่มออกทะเล
สถิติต่าง ๆ ถูกหยิบยกออกมามากมาย โดยเฉพาะ พรีเมียร์ลีก ในยุคของ โรมัน อบราโมวิช เข้ามาเทกโอเวอร์สโมสร ผ่านพ้นไป 12 เกมแรกก่อนเกมกับ วูล์ฟส์ ปรากฏว่า วิลลาส-โบอาส ห่วยที่สุด
ทำทีมชนะ 7 เสมอ 1 แพ้ไปถึง 4 เกม ยิงได้ 25 เสียไปถึง 17 ประตู เฉลี่ยชัยชนะอยู่ที่ 58 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เมื่อลองเทียบกับคนอื่นนั้นมันชัดเจนมาก เมื่อผ่านในจำนวนแมตช์ที่เท่ากัน ไม่ว่าเหลี่ยมไหนก็แย่กว่าทุกเหลี่ยม
คาร์โล อันเชล็อตติ ทำทีมชนะ 10 เสมอ 0 แพ้ 2 ยิง 29 เสีย 8 เฉลี่ยชนะ 83%
กุส ฮิดดิงค์ ทำทีมชนะ 10 เสมอ 1 แพ้ 1 ยิง 21 เสีย 7 เฉลี่ยชนะ 83%
โจเซ่ มูรินโญ่ ทำทีมชนะ 9 เสมอ 2 แพ้ 1 ยิง 17 เสีย 3 เฉลี่ยชนะ 75%
หลุยส์ เฟลิปเป้ สโคลารี่ ทำทีมชนะ 9 เสมอ 2 แพ้ 1 ยิง 29 เสีย 4 เฉลี่ยชนะ 75%
กระทั่ง อัฟราม แกรนท์ ยังดีกว่าเมื่อทำทีมชนะ 8 เสมอ 2 แพ้ 2 ยิง 18 เสีย 4 เฉลี่ยชนะ 67%
สถานการณ์บีบบังคับอย่างมาก เมื่อ วิลลาส-โบอาส ทำทีมแพ้ ลิเวอร์พูล 1-2 ในพรีเมียร์ลีก ต่อเนื่องด้วยเจ๊งชัยให้กับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ด้วยสกอร์เดียวกัน ทำให้สุ่มเสี่ยงที่จะตกรอบแชมเปี้ยนส์ลีก สิ่งที่ “เสี่ยหมี” ปรารถนาที่สุด
แน่นอนว่า ปริศนาคำถามต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นอย่างมากมาย
ว่ากันตามเชิง หลังจากแพ้ เลเวอร์คูเซ่น เป็นธรรมดาของมนุษยชาติ ที่จะมีเวลาในการตั้งลำกลับมาใหม่ให้เร็วที่สุด ซึ่งในกรณีของ โบอาส
น่าจะวัดใจใน 2 สัปดาห์นี้
เกมแรกคือ วูล์ฟส์ ในพรีเมียร์ลีก ต่อด้วยล้างตากับ ลิเวอร์พูล คราวนี้เป็น คาร์ลิ่งคัพ, บุกไปเยือน นิวคาสเซิล ในพรีเมียร์ลีก ก่อนจะมาเฝ้ารังวัดชะตากับ บาเลนเซีย
แต่ต้องชมว่า แม้ชีวิตจะแขวนบนเส้นด้าย แต่ว่า วิลลาส-โบอาส กล้าที่จะตัดสินใจ 2 สิ่งในระยะเวลาเพียง 2 วันหลังการพ่ายแพ้ที่เมืองเบียร์
หนึ่งคือ ปฏิเสธการให้การช่วยเหลือของ กุส ฮิดดิงค์ ที่ดูแล้วน่าจะ “มาเลื่อย”มากกว่า
สองคือ กล้าเปลี่ยนทีมโดยเน้นไปที่ตัวเองเป็นหลัก นั่นคือจังหวะในการเล่นที่ต้องการ “สปีด”ในเกมเร็วขึ้น
หน้าตานักเตะเชลซี 11 คนที่ชนกับ วูล์ฟส์ จึงออกมาเป็น ปีเตอร์ เช็ก - บรานิสลาฟ อิวาโนวิช, ดาวิด หลุยซ์, จอห์น เทอร์รี่, แอชลี่ย์ โคล - รามิเรส, ราอูล เมเรเรส, โอริออล โรเมอู, แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์, ฆวน มานูเอล มาตา และ ดิดิเยร์ ดร็อกบา
แล้วทุกอย่างก็โอเคอย่างที่คิด
เปิดฉาก ราอูล เมเรเลส ยิงเฉียดเสา จากนั้นนาทีที่ 6 มิลิยาส เสียบอลไปให้กับ รามิเรส กลางสนามก่อนที่ รามิเรส จะยิงกะเสียบเสาแรกแต่ เฮนเนสซี่ย์ พุ่งปัดออกไปได้หวุดหวิด แต่จังหวะเตะมุม มาตา เปิดมาไปให้ จอห์น เทอร์รี่ ลอยขึ้นโขกลูกเตะมุมเข้าไป
เกมมาถึงครึ่งชั่วโมง เชลซี ที่เล่นสปีดบอลได้เร็วกว่าปกติมาได้เม็ดสอง แอชลี่ย์ โคล แทงทะลุให้ เมเรเลส ก่อนจะไหลให้ มาตา พลิกหนีแนวรับวูล์ฟส์ ก่อนเปิดมาให้ สเตอร์ริดจ์ ชาร์จเข้าไปเป็นประตูที่ 6 ของเขาในซีซั่นนี้ให้ทีมนำ 2-0
เกมมาถึงนาทีสุดท้ายเกมขาดลอย ดร็อกบา พลิกหนี โรเจอร์ จอห์นสัน ติดแนวรับ ก่อนที่ ดร็อกบา ตามไปเก็บบอลไหลคืนกลับให้ แอชลี่ย์ โคล เปิดจังหวะเดียวให้ มาตา สังหารด้วยซ้ายเสียบตาข่าย เป็นประตูที่ 3 ของเขาในปีนี้และแอสซิสต์ไปแล้ว 6 ลูก ให้ เชลซี นำขาด 3-0 และปิดเกมด้วยสกอร์นี้
จริงอยู่ที่ วูล์ฟส์ อาจจะนำมาใช้วัดอะไรไม่ได้มากนัก แต่อย่างน้อยขวัญและกำลังใจรวมไปถึงสติสตางค์ของ โบอาส น่าจะดีขึ้น ขอยกประโยชน์ให้กับผู้กล้า
กำลังจะสนามบินลงกับเรื่องนี้ บังเอิญไปเปิด บีบีซี เห็นข่าวสุดช็อก ทำให้บอกตามตรงเลยว่า คอลัมน์นี้จบไม่ลงจริง ๆ ครับ
แกรี่ สปีด อดีตดาวเตะคนดังของ “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด, “สาลิกาดง” นิวคาสเซิล และ “ดาบคู่” เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกุนซือทีมชาติเวลส์
เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัยเพียงแค่ 42 ปีเท่านั้น
ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอะไรกันแน่ แต่ครอบครัวของเขาขอร้องว่า อย่าลือกันไปต่างๆ นานา เพราะกำลังโศกเศร้ากันสุดๆ ทำให้ขอนำพื้นที่ตรงนี้อาลัยอีกหนี่งนักเตะที่เหมือนกับ “เป็นเพื่อน”ที่ดูเกมฟุตบอลในยุคแรกๆ ของชีวิตผมไว้นะโอกาสนี้
RIP….แกรี่ สปีด
เรื่องโดย "บี แหลมสิงห์"
คอลัมน์ may i come in please นสพ.กีฬารายวัน