Let it be….โดย..มาร์ค สุรเดช
ชื่อบทเพลงยอดฮิตในอดีตของคณะสี่เต่าทองอันเลื่องชื่อแห่งเมือง ลิเวอร์พูล คงจะพอปลอบใจใครหลายๆคนจากความผิดหวังอีกหนึ่งเกมในพรีเมียร์ลีกเกมล่าสุดที่ลงมาเยือน ฟูแล่ม ถึง คราเว่น ค็อตเทจ
สกอร์ 1-0 ของเจ้าถิ่นทำให้ความหวังของบรรดา “เดอะ ค็อป” ทั่วโลก ที่อยากจะเห็นปาฏิหาริย์ในการลุ้นคว้าแชมป์ลีกสูงสุดหนแรกในรอบกว่า 2 ทศวรรษ คงสลายหายไปค่อนข้างแน่แล้วในความรู้สึกของหลายๆคน รวมถึงเจ้าของคอลัมน์ด้วย เพราะล่าสุดคะแนนที่ห่างจากจ่าฝูงอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั้นมากถึง 15 คะแนนแล้ว
แน่นอนว่าในทางทฤษฎีนั้น การตาม 15 คะแนนยังไม่ได้หมายความว่า ลิเวอร์พูล จะหมดสิทธิ์ลุ้นแชมป์ แต่ในทางปฏิบัติต้องยอมรับว่า ลิเวอร์พูล ยังต้องการความเด็ดขาด และความสม่ำเสมอมากกว่านี้สำหรับถ้วยที่แฟนๆเฝ้ารอคอยมากที่สุด มากเสียยิ่งกว่าตำแหน่งแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 เสียอีก
ก่อนการลงใต้มาลอนดอนเที่ยวนี้ ลิเวอร์พูล ต้องพบกับข่าวร้ายหลังจากต้องเสีย ลูคัส เลว่า มิดฟิลด์ตัวตัดเกมคนสำคัญของทีมไปจนจบฤดูกาลเพราะอาการบาดเจ็บซึ่งนั่นทำให้ “คิง เคนนี่” ต้องปวดหัวในการหาคนมารับผิดชอบในหน้าที่ดังกล่าวแทน เพราะก่อนหน้านี้ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีมตัวจริงก็ยังไม่สมบูรณ์ และยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาลงสนามได้ในเร็ววัน
11 ตัวจริงที่ ดัลกลิช ส่งลงสนามในการเจอกับ ฟูแล่ม จึงออกมามีหน้าตาดังนี้ ประตู-โฆเซ่ เรน่า, กองหลัง-เกล็น จอห์นสัน, ดาเนี่ยล แอ็กเกอร์, มาร์ติน สเคอร์เทล, โฆเซ่ เอ็นริเก้, กองกลาง-จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เจย์ สเปียริ่ง, ชาร์ลี อดัม และกองหน้า 3 คนเป็น-เคร็ก เบลลามี่, แอนดี้ คาร์โรลล์ และ หลุยส์ ซัวเรซ
ซึ่งหากดูจากการจัดทัพแล้ว เดาใจว่า ดัลกลิช ตั้งใจจะปรับมาเล่นกลาง 3 คน และหวังจะเปิดเกมบุกเพื่อเผด็จศึก ฟูแล่ม ให้ได้ เพราะในเวลานี้ทัพนักเตะ “หงส์แดง” กำลังเล่นอยู่ในฟอร์มที่ดี ไม่แพ้ใครในพรีเมียร์ลีกติดต่อกันมาร่วม 10 เกม แถมยังชนะในเกมเยือนมา 4 เกมติดอีกด้วย
ภาพรวมในครึ่งแรก ในช่วงต้นเกมทั้ง มาร์ค ชวาร์เซอร์ และ โฆเซ่ เรน่า ต่างมีโอกาสได้โชว์ผลงานในการป้องกันประตูด้วยกันทั้งคู่ โดยเฉพาะจังหวะป้องกันลูกยิงของ มุสซ่า เดมเบเล่ ที่โดน เรน่า ป้องกันไว้ได้ รวมถึง ชวาร์เซอร์ ที่ต้องออกแรงหยุดไม่ให้ แอนดี้ คาร์โรลล์ ทำประตูจากการซัดระยะเพียง 10 หลา
นาทีที่ 28 ลิเวอร์พูล เกือบจะได้โอกาสขึ้นนำก่อน เมื่อ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน พาบอลลากตัดเข้ากลางก่อนที่มิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษชุดเล็กจะปั่นบอลไซด์โค้งไปชนเสาอย่างน่าเสียดาย
ก่อนจบครึ่งแรก ทั้ง 2 ทีม ยังมีโอกาสลุ้นประตูแบบใกล้เคียงอีกทีมละครั้ง ของ ฟูแล่ม ได้ลุ้นจาก คลินท์ เดมพ์ซีย์ ส่วน ลิเวอร์พูล เกือบจะได้จากหัวหอกชาวอุรุกวัย หลุยส์ ซัวเรซ จบครึ่งแรกเสมอกัน 0-0 ซึ่งมีสถิติที่น่าสนใจด้วยว่ามีถึง 14 เกมในฤดูกาลนี้ที่ ฟูแล่ม ลงเล่นและไม่มีประตูเกิดขึ้น
เข้าสู่ครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล พยายามจะบุกเข้าใส่อีกครั้ง และเกือบจะได้ลุ้นจุดโทษจากจังหวะเกมสวนกลับของพวกเขา เมื่อ ชาร์ลี อดัม โดน ฟิลิป เซนเดอรอส ทำฟาวล์ อย่างไรก็ดีผู้ตัดสินมองว่าการฟาวล์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นในกรอบ 18 หลา
ลิเวอร์พูล ยังเดินเกมต่อเนื่องอย่างหนัก ทว่าในนาทีที่ 71 พวกเขากลับต้องเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน เมื่อ เจย์ สเปียริ่ง โดนผู้ตัดสิน เควิน เฟรนด์ ชักใบแดงไล่ออกจากสนามจากจังหวะเข้าบอลใส่ มุสซ่า เดมเบเล่ แม้จังหวะเสียบนั้นจะโดนบอลก็ตาม แต่ผู้ตัดสินมองว่าเป็นการฟาวล์รุนแรงเกินกว่าเหตุ ทำให้นี่เป็นหนที่ 3 แล้วในฤดูกาลนี้ที่ “หงส์แดง” เหลือผู้เล่นไม่ครบ 11 คนเมื่อจบเกม
นาที 81 ฟูแล่ม น่าจะได้ประตูอย่างยิ่ง เมื่อ คลินท์ เดมพ์ซีย์ ลากบอลตัดเข้าในและพยายามปั่นไซด์ บอลไปชนคานอย่างน่าเสียดาย
ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมจอมแม่นเสาแห่งฤดูกาล เมื่อ สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง ที่ลงมาเป็นสำรองในเกมนี้ ตะบันให้ ชวาร์เซอร์ ต้องเซฟบอลปลิ้นไปชนเสาอีกครั้ง โดยนี่เป็นหนที่ 12 ในซีซั่นแล้วที่ ลิเวอร์พูล ยิงชนเสาชนคาน เป็นตัวเลขที่สูงสุดเหนือกว่าทุกทีมในพรีเมียร์ลีก โดยมากกว่าทีมอันดับสองถึง 5 ครั้งเลยทีเดียว
สถิติไร้พ่าย 11 เกมติดของ ลิเวอร์พูล มาถูกเจิมจนได้ เมื่อเหลือเวลาอีกเพียง 5 นาที จากจังหวะที่ แดนนี่ เมอร์ฟี่ ผ่านการประกบของ เกล็น จอห์นสัน หลุดเข้าไปยิงให้ เรน่า เซฟ แต่ด้วยความแรงทำให้บอลกระฉอกออกมาและเทพีแห่งโชคดูจะอยู่กับ ฟูแล่ม เมื่อ เดมพ์ซีย์ พรวดเข้าถึงบอลก่อนใครก่อนจะซัดผ่าน เรน่า เข้าประตูไปเป็นประตูโทน และประตูชัยของ ฟูแล่ม ล้างแค้นจากที่โดน ลิเวอร์พูล บุกมาถล่มเมื่อซีซั่นก่อน 5-2
ชัยชนะทำให้ ฟูแล่ม ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 13 ในตารางคะแนนเป็นที่เรียบร้อยและยังยุติสถิติที่ไม่สู้ดีนัก ที่ไม่เคยเอาชนะคู่แข่งได้เลยใน 7 แมตช์ก่อนนี้หากว่าครึ่งแรกสกอร์เสมออยู่ 0-0
ส่วน ลิเวอร์พูล แพ้แมตช์นี้ทำให้พวกเขาถูก อาร์เซนอล และ นิวคาสเซิล เบียดตกไปอยู่ในอันดับ 7 แล้ว และคงต้องพยายามอย่างหนักไปจนจบฤดูกาลสำหรับความหวังในการจะติดพื้นที่ 4 อันดับแรกเพื่อกลับไปเตะบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้งในฤดูกาลหน้าให้ได้
หลังเกม คิง เคนนี่ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นใบแดงของ สเปียริ่ง รวมถึงความพ่ายแพ้ในเกมล่าสุดว่า
“เจย์ พยายามจะเอาชนะในการแย่งบอล และเขาก็ทำได้ดี แต่ผมก็ไม่ใช่ผู้ตัดสิน บางครั้งพวกเขาก็อาจจะให้ฟาวล์ แต่บางครั้งก็อาจจะไม่ให้”
“เราจะตัดสินใจกันอีกครั้งว่าจะอุทธรณ์ใบแดงที่เกิดขึ้นกันหรือไม่”
“เกมนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นใจกับเราเท่าไหร่ หลุยส์ (ซัวเรซ) ทำประตูได้แต่ก็ถูกปฏิเสธ เช่นเดียวกับจังหวะที่น่าจะเป็นจุดโทษของ ชาร์ลี อดัม”
“แม้ ฟูแล่ม จะสร้างความอันตรายได้พอสมควรในช่วงต้นเกม แต่ เรน่า ก็เซฟไว้ได้เกือบทั้งหมด เกมนี้ ลิเวอร์พูล สมควรจะมีแต้มติดมือไม่ใช่มือเปล่าเช่นนี้”
“และแม้ ลิเวอร์พูล จะไม่ได้เล่นเพอร์เฟ็กต์ในเกมนี้ แต่ผมมองว่าทีมของผมก็ทำทุกอย่างและสมควรจะได้ 3 แต้ม เราคงต้องลืมความผิดหวังเสีย และเตรียมพร้อมสำหรับเกมต่อไปที่จะเจอกับ คิวพีอาร์”
===============================
อดัม ชม เมอร์ฟี่ ยกให้เป็นคู่แข่งที่แกร่งที่สุด
ก่อนหน้าเกมที่ ลิเวอร์พูล จะบุกไปเยือน ฟูแล่ม ในเกมมันเดย์ไนต์ ชาร์ลี อดัม มิดฟิลด์ห้องเครื่องของทีม “หงส์แดง” ได้กล่าวชื่นชมกองกลางคู่แข่งอย่าง แดนนี่ เมอร์ฟี่ อดีตนักเตะ ลิเวอร์พูล ว่ามักจะสร้างปัญหาให้กับเขาเสมอยามที่ได้เผชิญหน้ากันในสนาม
“ผู้คนที่นี่ยังยกย่อง และยอมรับในตัว แดนนี่ อย่างสูง เพราะเขาเป็นสุดยอดผู้เล่นคนหนึ่งจริงๆ”
“ฤดูกาลที่แล้ว ตอนที่ผมยังอยู่กับ แบล็คพูล ทั้ง 2 เกมที่เผชิญหน้ากันนั้น เขาสร้างปัญหาให้กับผมได้ตลอด”
อดัม หวังว่า ลิเวอร์พูล จะยังรักษาผลงานที่ดีต่อไปในการเล่นเกมเยือน หลังจากการเจอกับ อาร์เซนอล และ เชลซี ถึง 2 ครั้งในซีซั่นนี้ พวกเขาสามารถทำผลงานได้อย่างสุดยอด
“ไม่ว่าเกมไหนก็ตามที่คุณต้องออกไปเยือน มันไม่มีเกมที่ง่ายเลยแม้แต่เกมเดียวในลีกระดับนี้ และมันสำคัญมากที่เราจะต้องพยายามเก็บคะแนนออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“จากผลงานการเล่นกับ ซิตี้ และตามด้วยเกมกับ เชลซี นั่นแสดงให้เห็นว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว เกมนี้น่าจะเป็นเกมที่เปิดสู้กัน ฟูแล่ม มีทีมที่ดี และก็มีผู้จัดการที่เก่งด้วยเช่นกัน”
ย้อนกลับไปซีซั่นก่อน เป็น มักซี่ โรดริเกวซ ที่คว้าแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมที่ คราเว่น ค็อตเทจ เมื่อเขาเป็นผู้ทำแฮตทริกได้ในชัยชนะ 5-2 และ อดัม เองก็อยากจะเห็นดาวเตะอาร์เจนไตน์รายนี้ มีส่วนร่วมกับเกมนี้อีกครั้ง
“เมื่อดูจากสถิติในการออกสตาร์ตด้วยการเป็นตัวจริง 9 เกมหลังสุดของ มักซี่ มันน่าทึ่งมากๆที่เขาทำไปถึง 10 ประตูเลยทีเดียว”
อดัม ยังได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการจับสลากประกบคู่รอบตัดเชือกในถ้วย คาร์ลิ่ง คัพ ที่ ลิเวอร์พูล จับมาชนกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไว้ด้วยว่า
“มันคงจะเป็น 2 เกมที่สุดพิเศษแน่นอน สิ่งที่ดีสำหรับเราก็คือเกมนัดที่สองนั้นจะกลับมาเล่นกันที่ แอนฟิลด์ และผมคิดว่าบรรยากาศของเกมในวันนั้นคงไม่ต่างจากเวลาที่เราเล่นฟุตบอลยุโรปเป็นแน่”
“แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือทีมระดับชั้นนำ พวกเขาเล่นได้ดีมาตลอด และนั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมพวกเขาถึงรั้งเป็นจ่าฝูงในลีก แต่รอบนี้จะต้องตัดสินกัน 2 เกม สัปดาห์ก่อนผมคิดว่า ลิเวอร์พูล เกือบจะเอาชนะพวกเขาได้แล้ว”
“ต้องขอบคุณแฟนบอลของเราที่ยกพลกันมาเกือบ 3,000 คนในรอบก่อนนี้ที่ เชลซี ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเราถึงยังได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ในทีมที่ดีที่สุดในโลก”
“ผมหวังว่าท้ายที่สุดแล้ว เราจะตอบแทนแฟนบอลทุกคนด้วยผลการแข่งขันที่ดีทั้ง 2 เลก”
เรื่องโดย " มาร์ค สุรเดช"
คอลัมน์ My Liverpool นสพ.กีฬารายวันฮอตสกอร์
<< Let it be : Beatles >>