1ปีที่‘รีเทิร์น’

1ปีที่‘รีเทิร์น’

1ปีที่‘รีเทิร์น’
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

8 มกราคมปีที่แล้ว แฟนบอล “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ต้องนอนสะดุ้งจนสายมุ้งขาดกระเด็น!

หลังจาก ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่ามาตลอดในการลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดนับตั้งแต่ได้แชมป์ครั้งสุดท้าย ปี 1990 มาจนถึงบัดเดี๋ยวนี้ก็จะต้องนับปีต่อไปจนแทบไม่เห็นฝั่ง

โดยเฉพาะต้นซีซั่น 2010-11 ทีมได้แต่งตั้ง รอย ฮอดจ์สัน เข้ามาคุมทัพแทนที่การจากไปของ ราฟาเอล เบนิเตซ

ครึ่งปีเท่านั้น ลิเวอร์พูล สับสนวุ่นวายทั้งระบบ ไม่ว่าจะเรื่องของผู้บริหารสโมสร ที่ต้องฟ้องร้องกันยกใหญ่จนทีมเกือบล้มละลายต้องขึ้นโรงขึ้นศาล สุดท้ายแล้ว ทอม ฮิคส์ กับ จอร์จ ยิลเล็ตต์ พ่ายแพ้ และทำให้ จอห์น เฮนรี่ เข้ามาบริหารทีม

หนักยิ่งกว่าก็คือ ผลงานในสนาม ฮอดจ์สัน ทำทีมย่อยยับที่สุดในรอบ 57 ปี และส่งทีมหล่นไปอยู่โซนท้ายตาราง สุ่มเสี่ยงต่อการตกชั้นอย่างมาก ทำให้บอร์ดบริหารสั่งปลดพร้อมกับสถิติการเป็นกุนซือที่คุมทีมน้อยที่สุดประวัติศาสตร์ แค่ครึ่งปีเท่านั้น

บันทึกเบื้องลึกเบื้องลับอาณาจักรแอนฟิลด์ ได้ขีดเขียนกันใหม่ว่าในวันดังกล่าว หรือ 8 มกราคม 2011 ซึ่งตรงกับ "วันเด็กแห่งชาติ" ของประเทศไทย รวมไปถึง “บัวผัน ทังโส” มาเปิดไลฟ์คอนเสิร์ตแถวบ้านผมเป็นครั้งแรก

มันทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูลหลายๆ คน นึกว่าตัวเอง "14 อีกครั้ง" แบบไม่ต้องตาลอยเหมือนกับพี่เสก โลโซ

ลิเวอร์พูล ได้ เคนนี่ ดัลกลิช กลับมาคุมทีมอีกครั้ง

กระแสรุนแรงพร้อมกับประโยคที่ว่า "The Return of the King Kenny" แพร่ไปทั่วโลก พร้อมกับความหวังที่ปลายอุโมงค์ว่า แสงสว่างมาแล้ว น้ำประปา&ระบบไฟฟ้ากำลังจะเข้าถึง

หลายคนดีใจอย่างมาก ทั้งที่จริงๆ แล้ว ดัลกลิช คือคนที่จุดประกายแห่งจุดจบเอาไว้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งเขียนสตอรี่ได้เลยว่า หลังจบเกมเสมอมหาโหด 4-4 ของศึกเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ เอฟเอ คัพ นัดรีเพลย์

“The beginning of the end” ของลิเวอร์พูล เกิดขึ้นตั้งแต่วันนั้น

มาในวันนี้เหลืออีก 48 ชั่วโมง เคนนี่ ดัลกลิช จะคุมทีมลิเวอร์พูล รอบ 2 ครบ 1 ปีพอดิบพอดี เราเห็นหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมค่อนข้างมาก

แนวโน้มเดินไปในทิศทางที่ดี แต่มันค่อนข้างจะไม่ค่อยถูกใจเดอะ ค็อป เท่าไหร่นัก

สไตล์การเล่น “พาส แอนด์ มูฟ” อันโด่งดังของทีม ถูกส่งเข้าที่สมองของนักเตะชุดใหม่ที่ ดัลกลิช สร้างขึ้นมาหลังจากเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ 3 ปี เมื่อ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา

โดยก่อนหน้านั้นเป็นเพียง “แคร์เทคเกอร์ เมเนเจอร์” เท่านั้น

ถามว่าการทำงานของ ดัลกลิช จนถึงทุกวันนี้ หากเป็นกุนซือคนอื่นอาจจะถูกด่าเปิงไปแล้ว โดยเฉพาะผลงานที่ไม่ค่อยน่าพิสมัยนักเมื่อเล่นในแอนฟิลด์

ด้วยบารมีที่เหลือล้นทำให้ ดัลกลิช ยังสามารถอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ได้อย่างสบายๆ และสามารถปรับเปลี่ยนทีมได้เรื่อยๆ จนกว่าจะได้ทีมที่ลงตัว

เหมือนกับที่เขาทำเมื่อปี 1987

ปีนั้นมือเปล่าแต่ไม่มีใครว่า เพราะปีก่อนหน้านั้นเขาพาทีมเป็นดับเบิลแชมป์

คราวนี้ ลิเวอร์พูล ว่างมานานมากนับตั้งแต่เอฟเอ คัพ ปี 2006 แน่นอนว่า มันย่อมแตกต่างออกไปจากครั้งนั้น

เพียงแต่ว่า เดอะ ค็อป ทุกคนกล้าที่จะอดทน กล้าที่จะให้เวลากับ ดัลกลิช ทำงาน

อาจจะดูน่าสนใจ ทั้งสถิติการเข้าทำ การผ่านบอล แต่ที่น่าปวดหัวที่สุดคงไม่พ้นเรื่องของ “ความเฉียบขาด” ที่ตอนนี้คือปัญหาอย่างแรง

พวกเขาพาส แอนด์ มูฟ ทุกแดนยกเว้นแถบเรด โซน ซึ่งมันไม่มีประโยชน์

การขาดหายไปของ หลุยส์ ซัวเรซ โดยเฉพาะแมตช์ล่าสุดที่ดูเหมือนจะ “ตัดหัวหงส์” ก่อนลงสนาม เพราะ ซัวเรซ ถูกตัดสินก่อนเกมเริ่มไม่นาน ทำให้เกมรุกของทีมที่ซ้อมกันมาต้องเปลี่ยนไป

ใช่...ตรงนั้นคือปัญหาแน่ เพราะเกมรุกศูนย์กลางอยู่ที่ ซัวเรซ แต่หนึ่งตำแหน่งที่น่าสนใจและไม่ลงตัวแม้แต่นิดเดียวตั้งแต่เปิดซีซั่นเป็นต้นมา นั่นก็คือ นักเตะที่เล่นเกมรุกด้านขวานั่นเอง

หลายคนเล่นตำแหน่งนี้มาแล้ว เคร็ก เบลลามี่, สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง, มักซี่ โรดริเกวซ, เดิร์ค เคาท์, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน แม้กระทั่ง เกล็น จอห์นสัน ก็เคยถูกดันขึ้นมาเล่น

ยังไม่ลงตัวแม้แต่คนเดียว

น่าจะเป็นไปได้ที่ ดัลกลิช อาจจะต้องเดินเข้าสู่ตลาดนักเตะอีกครั้ง เพื่อตามล่านักเตะตำแหน่งนี้ หรือถ้าไม่ได้จริงๆ ก็น่าสนคนที่เพิ่งหายจากเท้าติดเชื้อ

สตีเว่น เจอร์ราร์ด ถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ อันเนื่องมาจาก ชาร์ลี อดัม กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน สมควรจะเล่นร่วมกันต่อไป เพราะถ้า เจอร์ราร์ด ได้เล่นด้วยแล้ว สองคนนี้น่าจะผ่อนคลายไปได้เยอะทีเดียว

เพียงแต่ปัญหาเรื่องสังขารนี่แหละมันจะเที่ยงแค่ไหน

เช่นเดียวกับ ดัลกลิช ที่จะฝืนสังขารตัวเองได้นานแค่ไหน...เช่นกัน!!!!

เรื่องโดย " บี แหลมสิงห์ "

คอลัมน์ may i come in please นสพ.กีฬารายวันฮอตสกอร์

ติดตามข่าวกีฬารอบโลกได้ที่นี่ http://sport.sanook.com/

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook