โควตานักฟุตบอลต่างชาติในลีกไทย
วันนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศจากเรื่องราวของฟุตบอลต่างประเทศมาเขียนถึงเรื่องราวที่กำลังเป็นหัวข้อทอล์กออฟเดอะทาวน์ในวงการฟุตบอลเมืองไทยก็คือเรื่องโควตานักเตะต่างประเทศที่ลงสนาม
ซึ่งเป็นประเด็นที่มีข้อถกเถียงในวงกว้างเลยทีเดียว โดยในปัจจุบันตามกฎที่ บริษัทไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก บัญญัติไว้คือแต่ละทีมสามารถส่งชื่อนักเตะชาวต่างชาติในแต่ละนัดได้ 7 คน และส่งลงสนามได้ 5 คน
ถ้าจำกันได้เมื่อไม่นานทางบริษัทไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกได้ทำการเชิญสโมสรทั้งสิบแปดทีมในพรีเมียร์ลีกมาประชุมรวมทั้งมีการสำรวจความคิดเห็นจากตัวแทนสโมสรต่างๆ ซึ่งก็มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยกับการใช้กฎเดิมคือ 7 ลง 5 และมีฝ่ายที่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงคือ ใช้กฎ 5 ลง 3 คือส่งชื่อนักเตะต่างชาติในแต่ละนัดได้ 5 คน และส่งลงสนามได้ 3 คน
และล่าสุดก็มีกระแสข่าวว่าหลายๆ สโมสรทั้งในระดับไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก และศึกดิวิชั่น 1 ที่ไม่พอใจต่อกฎเดิม 7 ลง 5 จึงเป็นปัญหาที่น่าปวดใจของทางบริษัท และ ดร.วิชิต แย้มบุญเรือง ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
สำหรับเรื่องของทั้งกฎ 7 ลง 5 หรือ กฎ 5 ลง 3 ก็มีทั้ง ข้อดี ข้อเสีย แตกต่างกันออกมา โดยด้านดีของกฎเดิมก็เป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งมีนักฟุตบอลต่างชาติที่มีฝีเท้าดี มีความสามารถเข้ามาค้าแข้ง และเป็นอีกหนึ่งสีสันที่ไม่เคยมีมาก่อน
รวมทั้งแต่ละสโมสรก็ต้องพัฒนาฝีเท้านักเตะของตัวเองเพื่อเทียบเคียงความสามารถของนักเตะต่างชาติที่มาค้าแข้ง ซึ่งก็คงปฏิเสธไม่ได้แน่ว่านักเตะต่างชาติที่มาค้าแข้งในเมืองไทยก็นำเทคนิค หรือรูปแบบการเล่นที่ต่างออกมารวมทั้งความเป็นมืออาชีพมากขึ้น ทำให้นักเตะไทยได้ซึมซับเรียนรู้สิ่งเหล่านั้น ยิ่งมีนักเตะต่างชาติลงสนามได้หลายก็ยิ่งเห็นสิ่งเหล่านั้นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
แต่ข้อเสียก็อาจจะทำให้นักเตะต่างชาติเหล่านั้นเข้ามาแย่งงาน หรือเวทีแจ้งเกิดของนักเตะไทย โดยเฉพาะดาวรุ่งเพราะเมื่อแต่ละทีมสามารถใช้นักเตะต่างชาติลงสนามได้ถึง 5 คน ก็ย่อมอยากส่งนักเตะที่ครบเครื่องหรือดีที่สุดลงสนาม
อีกทั้งเรื่องการเงินแต่ละสโมสรย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นแน่ๆ เพราะเงินที่จะนำมาจ้างเป็นเงินเดือนนักเตะต่างชาติเหล่านั้นก็ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะทีมใหญ่ที่แต่ละฤดูกาลต้องมีค่าใช้จ่ายกับนักเตะต่างชาติเกินหลักสิบล้านอย่างแน่นอน
นอกจากนั้นการใช้กฎเดิมคือ 7 ลง 5 ก็มีแฟนบอลหลายคนคิดว่าส่งผลกระทบต่อทีมชาติไทย โดยเฉพาะพวกนักเตะหน้าใหม่ๆ ที่มีฝีมือจริงๆ พัฒนาขึ้นมาน้อยมากจากโอกาสที่โดนพวกนักเตะต่างชาติเบียดบังทางอ้อม
และตัวอย่างที่น่าจะเป็นเหตุผลสนับสนุนแนวคิดนี้ได้อย่างชัดเจนคือเรื่องความล้มเหลวของทีมชาติไทยช่วง 3-4 ปี หลังที่ผ่านมาแม้ว่าหลายทีมในชุดเยาวชนจะประสบความสำเร็จพอตัวแต่ก็จะหยุดอยู่แค่ไหนเนื่องจากหนทางที่จะได้พัฒนาต่อนั้นยาก
ทำให้ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเราถึงเห็นนักเตะฝีเท้าดีแต่ไปแจ้งเกิดอยู่ในลีกดิวิชั้น 1 หรือ เอไอเอสลีกภูมิภาคหลายคน เพราะโอกาสที่จะไปเล่นในทีมใหญ่ของพรีเมียร์ต้องไปสู้กับพวกต่างชาติสไตล์ประสบการณ์เขี้ยวลากดินทั้งสิ้น
ส่วนฟุตบอลในระดับเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก และเอเอฟซี คัพ ก็เป็นรายการที่สนับสนุนการใช้กฎ 5 ลง 3 แถมบวก 1 มาอีกต่างหาก โดยที่บวกหนึ่งคือนักเตะต่างชาติแต่จำเป็นต้องมีสัญชาติอยู่ในประเทศทวีปเอเชีย
ทำให้เวลาทีมจากประเทศไทยไปแข่งรายการเหล่านั้นมักจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จในช่วงหลัง เพราะทีมใหญ่ที่เคยใช้นักเตะต่างชาติเป็นแกนหลักก็ต้องปรับให้นักเตะไทยลงมาเล่นแทนเพื่อเป็นไปตามกฎจึงส่งผลให้ทีมขาดความสมดุล หรือศักยภาพในทีมถูกใช้ออกมาอย่างไม่เต็มที่
อย่างไรก็ตามกฎทั้งสองแบบก็ถือว่ามีทั้ง ข้อดี ข้อเสีย แตกต่างกันออกไปอยู่ที่บรรทัดฐานของแต่ละคนว่าจะมีมุมมองยังไงกับเรื่องนี้
แต่ต้องอย่าลืมว่าการเลือกใช้กฎใดกฎหนึ่งต้องอยู่ภายใต้บรรทัดว่าแบบไหนจะส่งผลดีและเป็นประโยชน์ต่อวงการฟุตบอลเมืองไทยมากที่สุด ซึ่งเรื่องนี้คงสรุปไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของความคิดเห็นของแต่ละคน
แต่ก็อยากลองฝากให้แฟนฟุตบอลชาวไทยไปลองคิดเกี่ยวกับประเด็นนี้กันดูนะครับ
เรื่องโดย "หมอเมา"
คอลัมน์ หมอเมาเล่า นสพ.กีฬารายวันฮอตสกอร์