แหนมแกล้มขิง
สุดสัปดาห์นี้พรีเมียร์ลีกมีโปรแกรมให้ได้ซี้ดกันอีกแล้ว เมื่อสองทีมยักษ์ใหญ่แห่งนอร์ธลอนดอน จะได้แก้มือกับสองทีมดังแห่งแมนเชสเตอร์ หลังแพ้มาอย่างยับเยินในการพบกันนัดแรกตั้งแต่เกมที่ 3 ของฤดูกาล
ย้อนกลับไปเมื่อ 28 สิงหาคม 2011 แมนเชสเตอร์ ซิตี้และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็รั้งอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูงและรองจ่าฝูงเหมือนกับที่เป็นอยู่ในตอนนี้ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่นัดที่ 22 ของซีซั่นแล้ว โดยเรือใบสีฟ้ากับปิศาจแดงเป็นเพียง 2 ทีมที่ชนะรวดในสองนัดแรก และต้องเจอกับบททดสอบสำคัญในเกมที่ 3 เมื่อต้องโคจรมาพบกับสเปอร์สและอาร์เซนอล
ผลการแข่งขันของสองคู่ที่ออกมาคือแมนเชสเตอร์ 13 – นอร์ธลอนดอน 3 เมื่อแมนฯ ซิตี้บุกไปอัดสเปอร์ส 5-1 ส่วนแมนฯ ยูไนเต็ดเปิดบ้านยำใหญ่อาร์เซนอล 8-2
หลังจบเกมนี้ผีแดงก็แซงเรือใบขึ้นไปเป็นจ่าฝูงได้ ด้วยผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่า หลังชนะรวด 3 นัดแรกเหมือนกัน ขณะที่สเปอร์สยังจมอยู่ในอันดับบ๊วยของตารางต่อไปจากการแพ้รวดทั้ง 2 นัด ด้วยน้ำมือของทีมจากแมนเชสเตอร์ทั้งคู่
เพราะก่อนเกมนี้ไก่เดือยทองก็ออกไปพ่ายผีแดง 3-0 ในการลงเตะนัดแรก เพราะเกมแรกอย่างเป็นทางการกับเอฟเวอร์ตันถูกเลื่อนออกไปด้วยเหตุจลาจลในลอนดอน ส่วนอาร์เซนอลก็อันดับหล่นไปอยู่ที่ 17 จากการเก็บได้แต่แต้มเดียวจาก 3 นัดแรก
มาเจอกันครั้งนี้อย่างที่บอกไปแล้วว่าอันดับของแมนฯ ซิตี้กับแมนฯ ยูไนเต็ดยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่สเปอร์สกับอาร์เซนอลถีบตัวเองขึ้นมาได้แบบต้องยกนิ้วให้ เพราะไก่เดือยทองขึ้นมารั้งอยู่ในอันดับ 3 ของตารางหน้าตาเฉย แถมยังเริ่มไล่บี้สองทีมนำแบบหายใจรดต้นคอด้วย
ส่วนปืนใหญ่ที่ลุ่มๆ ดอนๆ ก็พาตัวเองมารั้งอยู่ในอันดับ 5 ได้ โดยมีเพียงเชลซี อีกหนึ่งทีมดังจากลอนดอน คั่นอยู่เท่านั้น
รีเทิร์นเลกนัดนี้สเปอร์สต้องไปเยือนแมนฯ ซิตี้ด้วยเป้าหมายที่จะลดช่องว่างที่ห่างกันอยู่ 5 คะแนนลงให้ได้ ส่วนอาร์เซนอลจะได้แก้มือกับแมนฯ ยูไนเต็ดในรังเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมของตัวเองบ้าง และถ้าทำสำเร็จก็อาจจะเบรกโอกาสของผีแดงที่หวังจะแซงขึ้นไปเป็นจ่าฝูงอีกหลังโปรแกรมนัดนี้ด้วย
โหมโรงก่อนเกมระหว่างเรือใบกับไก่เดือยตอนนี้ก็หนักไปทางเกทับบลัฟแหลกกันอยู่ เมื่อไก่ออกมาบอกว่าไม่กลัวเรือและสู้ได้แน่ ส่วนเรือก็หยันว่าไก่ไม่อยู่ในสายตาและไม่ใช่คู่แข่งลุ้นแชมป์ด้วย
ส่วนเกมคู่ปืน-ผีดูจะมีสีสันที่ถูกจับตามองมากกว่า ไม่ใช่แค่เพราะทั้งสองทีมนี้เป็นคู่ปรับแย่งแชมป์กันมานานอยู่ช่วงหนึ่ง หรือเพราะผลการแข่งขันในนัดแรกเท่านั้น แต่ไฮไลท์อยู่ที่การคัมแบ๊กของสองสตาร์อย่างเธียร์รี่ อองรีและพอล สโคลส์นั่นเอง
หลังจากผลงานยังเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายในซีซั่นนี้ อาร์แซน เวนเกอร์ก็พยายามหาวิธีทำให้ทีมเล่นดีขึ้นแบบไม่ต้องลงทุนเยอะตามสูตร และข้อสรุปก็คือการยืมตัวอองรี ดาซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสร มาร่วมทีมด้วยสัญญาสั้นๆ แค่สองเดือน ในช่วงที่เมเจอร์ลีก ซอกเกอร์ปิดซีซั่นอยู่
ส่วนสโคลส์ที่ประกาศแขวนสตั๊ดไปอย่างยิ่งใหญ่หลังจบฤดูกาลที่แล้ว และผันตัวไปเป็นสตาฟโค้ชให้แมนฯ ยูไนเต็ดแทน ก็ถูกเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันกล่อมให้กลับมาช่วยทีมที่เผชิญปัญหานักเตะบาดเจ็บเยอะในซีซั่นนี้
ทั้งคู่ลงเตะนัดแรกในเกมเอฟเอคัพรอบ 3 ในฐานะตัวสำรอง และอองรีก็ฉลองการรีเทิร์นได้อย่างสุดดราม่า เป็นเป็นฮีโร่ทำประตูชัยให้อาร์เซนอลเฉือนลีดส์ไป 1-0 ในช่วงท้ายเกม ส่วนสโคลส์สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการกลับมามีชื่ออยู่ในเกมมกับแมนฯ ซิตี้ชนิดที่เพื่อนร่วมทีมเองยังไม่มีใครรู้ และก็ลงไปช่วยประครองทีมให้พิชิตคู่ปรับร่วมเมืองไปได้ 3-2
การรีเทิร์นของสโคลส์นัดแรกไม่ได้ดูยิ่งใหญ่อลังการแบบอองรี แถมเขายังมีส่วนทำให้ผีแดงเสียประตูที่สองอีกต่างหาก จากการจับบอลที่มาจากลูกทุ่มพลาดจนถูกตัดไปได้ และนำไปสู่การทำประตูของเรือใบสีฟ้า
เมื่อทั้งสองทีมกลับมาลงเตะพรีเมียร์ลีกอีกครั้งในเกมถัดไป คราวนี้เป็นสโคลส์บ้างที่ได้อยู่ในแสงไฟ เมื่อถูกส่งลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมกับโบลตันที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด และเบิกสกอร์แรกให้ทีมได้ในชัยชนะ 3-0
ส่วนอองรียังคงลงเล่นแค่ในฐานะตัวสำรองในเกมที่อาร์เซนอลไปเยือนสวอนซี แต่ครั้งนี้เขาไม่สามารถช่วยทีมให้เอาตัวรอดจากความพ่ายแพ้ 3-2 ได้ แถมยังมีการปะทะคารมกันแฟนบอลปืนใหญ่คนหนึ่งหลังจบเกมอีกต่างหาก เพราะฉุนที่กองเชียร์ด่าทีมตัวเอง จนสุดท้ายก็ต้องออกมาขอโทษทีหลัง
ทั้งสองคนอาจจะมีโอกาสได้ประฝีเท้ากันอีกครั้งที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยมในวันอาทิตย์นี้ หลังจากดวลแข้งกันครั้งสุดท้ายในพรีเมียร์ลีก ในเกมที่อาร์เซนอลเฉือนชนะแมนฯ ยูไนเต็ด 2-1 เมื่อ 21 มกราคม 2007 โดยอองรีเป็นผู้ทำประตูชัยในนาทีที่ 3 ของการทดเวลาบาดเจ็บ หลังจากเวย์น รูนี่ย์ทำประตูให้ผีขึ้นนำก่อนในต้นครึ่งหลัง ก่อนที่โรบิน ฟาน เพอร์ซี่จะตีเสมอให้ปืนได้ก่อนหมดเวลา 7 นาที และเป็นอองรีที่กลายเป็นฮีโร่ให้กับเจ้าบ้าน
หลังจากนั้นเขาก็โบกมือลาอาร์เซนอลไปร่วมทีมบาร์เซโลน่าอยู่ 3 ปี ก่อนย้ายไปขุดทองในเมเจอร์ลีกกับนิวยอร์ก เรดบูลส์ในปี 2010 ขณะที่สโคลส์ยังคงปักหลักเป็นกำลังสำคัญให้แมนฯ ยูไนเต็ดมาจนกระทั่งตัดสินใจเลิกเล่นไปด้วยวัย 36 ปี
มาเจอกันครั้งนี้ศูนย์หน้าวัย 34 และมิดฟิลด์วัย 37 จะมีบทบาทกับเกมมากน้อยแค่ไหนยังไม่มีใครรู้ แต่บทบาทที่ทั้งสองคนมีต่อทีมคงมีไม่น้อย และสำหรับแฟนๆ อย่างเราๆ ท่านๆ คงได้ตั้งตารอเกมสำคัญนัดนี้อย่างใจจดใจจ่อ เพราะไหนจะผลการแข่งขันที่อาจมีส่วนต่อการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งจ่าฝูงได้ ไหนจะเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีที่มีเรื่องของการล้างตาเป็นเดิมพันพ่วงเข้าไปอีก
ยิ่งถ้าอองรีกับสโคลส์ได้ลงไปดวลแข้งกันอีกครั้ง คงเหมือนมีแหนมสดมากินแกล้มกับขิงซอย เพิ่มอรรถรสในการเชียร์ได้อีกมากโข
เรื่องโดย "เบบี้ แบร์"
คอลัมน์ ฟุตบอลผู้ดี นสพ.กีฬารายวันฮอตสกอร์
<< คลิปโหมโรง อาร์เซนอล พบ แมนฯยูไนเต็ด >>