ปาฏิหาริย์ (ไม่มีจริง)
วินาทีที่ อับดุล อาซิส มูบารัค สับเท้าส่งบอลผ่านมือ กวิน ธรรมสัจจานันท์ ผมเบือนหน้าหนีจอสี่เหลี่ยมที่จ้องอยู่ตลอด 89 นาที ก่อนพาตัวเองกลับสู่โลกแห่งความจริง
เสียงมวลชนสัญชาติอาหรับดังก้องกึกราวกับเพิ่งชนะจากการทำสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน ตรงกันข้ามแรงใจจากชาวสยามประเทศที่ส่งไป ณ แดนตะวันออกกลางแทบแตกเป็นเสี่ยง
นกหวีดยาวดัง พลันพ้นหลัง 90 นาทีที่กรุงมัสกัต ไร้รอยปาฏิหาริย์สำหรับขุนพลปลาแดกในการโกยเท้าเข้าสู่รอบ 10 ทีม
โอมาน 2 ไทยแลนด์ 0
แม้มหามิตร (ชั่วคราว) ออสเตรเลีย ภายใต้บังเหียน โฮลเกอร์ โอเซียค จะพาทีมไล่เตะ "เศรษฐีน้ำมัน" ซาอุดีอาระเบีย กลับประเทศไม่ไว้หน้า 4-2 ทว่าท้ายสุดเป็น ปอล เลอ กูแอ็น และขุนพลโอมาน ที่เดินตามก้น โอเซียค เข้าสู่รอบถัดไป
ชายตาเข้ามาดูความเห็นในโลกโซเชียลหลังเกม ร้อนระอุดุเดือด แบบไม่ต้องมีเครื่องมือวัดอุณหภูมิบอกตัวเลข
หลายประเด็น หลากความคิดถูกจับโยงเชื่อมกันอย่างเมามันส์ บางความเห็นระบายผ่านตัวหนังสือแบบอัดอั้นเต็มที่ บ้างก็ร้องเรียกหา "แพะ" แบะๆ ๆ
นั่นคือความเห็นของมวลชนส่วนหนึ่งที่บูชาทีม ดี ร้าย ไร้แก่นสาร ย่อมผสมปนเปกันออกไปตามความรู้สึกและเหตุผลของตน
ทว่ากับคน (ข่าว) ปอนๆ ก็มีมุมความเห็นเช่นกัน กับเกมที่กระชากฟุตบอลโลก 2014 ของผมให้หลุดจากจินตนาการ
ไลน์อัพ 11 คนแรก ต่างจากวาบความคิดที่วางไว้ในสมองเล็กน้อย กวิน ธรรมสัจจานันท์ มีชื่อแทน สินทวีชัย ที่ฟอร์มกำลังอยู่ในช่วงติดลมบน
มุมมองของ "วินนี่" อาจคิดว่า "ตอง" ทำหน้าที่ปัดเป่าบอลกลางอากาศได้ดีกว่า "ตี๋"
แบ็กโฟร์ไม่มีใครเหนือความคาดหมาย เปรม เป็ด เจษ บอย ค่อนข้างน่าเสียดายในเกมนี้ที่ไม่มีโอกาสเห็น สมภพ นิลวงศ์ ลงวาดลวดลายคู่ "นิเวส" ในยูนิฟอร์มธงชาติ เหตุผลคือทางสมาคมไม่ได้ส่งชื่อให้กับฝ่ายจัด คงไม่น่าเกลียดหากจะเอ่ยว่า สมภพ ได้ไปเที่ยวตะวันออกกลางฟรี
แผงกลางคอยทำลายเกมคู่ต่อสู้เป็นหน้าที่ของ "แป๊ะ เมืองทอง" และ "โน๊ต สายฟ้า" ส่วนแนวรุกทั้งสามเป็นหน้าที่ของ "เบิร์ด บีจี" กับ "กบ ไซเบอร์" โดยมี จิรวัฒน์ มัครมย์ ทำเกมตรงกลาง และให้ "มุ้ย" ธีรศิลป์ หว่าเว้ในแดนหน้า
รูปเกมโดยรวมช่วงแรกไม่ได้เป็นรองเจ้าถิ่น หากประตูแรกไม่เกิด ผู้เล่นโอมานเพียงคนเดียวดึงแนวรับไทยให้ไปกรูถึง 3-4 ราย ก่อนที่จะผ่านบอลให้เพื่อนร่วมทีมบรรจงวาดบอลด้วยตีนขวาเข้าไป (แม้กวินจะบินได้ก็เถอะ)
เมื่อเกมเป็นรองศัตรู ทางเลือกที่เหลือคือ "ทุบหม้อข้าว" แล้วดาหน้าเปิดเกมแลก ทว่าแดนกลางเรากลับไม่สามารถเจาะแผงแนวรับเจ้าบ้านได้สักราย หลายหนที่ ธีรศิลป์ ลงมาล้วงบอลต่ำ แต่ผู้เล่นโอมานก็สามารถรักษาพื้นที่อันตรายไว้ได้อย่างดี
หากสังเกตเจ้าบ้านแทบจะไม่ยอมเสียฟาวล์ในระยะใกล้กรอบเขตโทษเลย กอปรกับบอลริมเส้นของไทยยังไม่ฉมังพอ ขาดเกินจนโดนสวนกลับตลอด
น่าเสียดายลูกยิงของ "ลีซอ" ที่ไปจูบเสา มิเช่นนั้นอาจเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนของเกม ส่วนใบแดงที่ได้รับเป็นของสมนาคุณหลังเข้าสกัดช้า นั่นก็สมควรแล้ว (เข้าใจอยู่ว่านั่นคือความมุ่งมั่นเจ้าตัว)
อีกสิ่งที่พอสัมผัสได้คือ เกมริมเส้นของเราในครึ่งหลังดูวูบวาบน่ากลัวกว่าครึ่งแรกหลายเท่าตัว บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าหาก ธีรเทพ ถูกส่งลงเป็น 11 คนแรก หรืออยู่ในสนามไวกว่านี้ เราอาจมีประตูแรก
จนท้ายสุดก็มาโดนลูกที่สองตอกฝาโลง ซึ่งน่าจะเป็นประตูที่เตือนสติได้อย่างดีว่า "ช้างศึก" ยังไม่ดีพอต่อรอบ 10 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก
ครั้นจะถามหาเหตุผลว่าเพราะอะไรผมว่าแฟนๆ ที่บูชาลูกหนังไทยอย่างเข้าเส้น ต่างมีคำตอบในใจอยู่แล้ว
เมื่อ "เรา" ไม่พร้อม (หลายด้าน) คำตอบคือ ไม่ได้ไปต่อ เป็นสัจธรรมง่ายๆ ของชีวิต ที่ใช้ได้ในโลกของฟุตบอล และ โลกแห่งความเป็นจริง
ฟุตบอลโลก 2014 ผ่านไปกับสายลม ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าเมื่อไหร่ "ทีมชาติไทย" จะมีวันนั้น 2018, 2022, 2026 หรือ 20...
ในโลกที่เทคโนโลยีก้าวข้ามข้อจำกัดต่างๆ ของมนุษย์ หากเปรียบฟุตบอลเป็นเครื่องมือสื่อสาร ประเทศที่เจริญทางด้านลูกหนังแล้วคงไม่ต่างจาก ไอโฟน 4S, Samsung Galaxy Note ที่พัฒนาฟังก์ชันลูกเล่นใหม่ๆ ออกมาไม่หยุด
ทว่ากับฟุตบอลบางประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คงไม่ต่างจาก Nokia 3310 (มือสอง) ที่ยังย่ำอยู่กับที่ หมดมุกพัฒนา มีเพียงหน้าจอขาวดำบอกเวลา และเกมงูให้กดแก้เครียด ข้อดีอย่างเดียวของมันหากเทียบเคียงในยุคนี้คงเป็น "หนา และ ทนทาน"
เหมือน "หน้า" นายกสมาคมประเทศนั้น...
"หมอกฟ้า"