จ่าฝูงเปลี่ยนมือ!
หลังจากทำแต้มนำมาและมีลุ้นชัดเจนถึง 4 แชมป์ แต่เวลาเพียงเดือนเดียวเท่านั้น
ทุกอย่างเปลี่ยนจาก “หน้ามือ” เป็น “หลังเท้า”
จากชัยชนะรวด 4 นัดในพรีเมียร์ลีก แต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ พวกเขาบุกไปทำได้แค่เสมอกับ เบอร์มิงแฮม 2-2 ต่อด้วยเสมอ วิลล่า ในถิ่นตัวเอง 1-1 และทำอะไร วีแกน ไม่ได้ เสมอกันไปแบบไร้สกอร์ จากนั้นก็พลาดอีกเมื่อ เสมอกับ มิดเดิลสโบรห์ ในถิ่นตัวเอง 1-1
ก่อนจะพ่ายให้กับ เชลซี ที่เดอะ บริดจ์ 1-2
นับตอนนั้นเป็นเวลาตั้งแต่ 23 กุมภาพันธ์ ไปจนถึง 23 มีนาคม ไม่รู้จักคำว่าชนะ แม้ว่าจะมีลูกฮึดด้วยการบุกไปแซงชนะ โบลตัน 3-2 ทั้งที่ตามหลังก่อน 0-2 จากนั้นก็ยังมาพลาดทำแต้มหล่นกับ ลิเวอร์พูล ด้วยผลเสมอ 1-1 และมาพลาดแพ้ให้กับ แมนฯยูไนเต็ด 1-2 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด
หมดลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกไปโดยปริยาย
เพราะถ้านับกันแล้ว 8 นัด ชนะแค่เกมเดียวเท่านั้น ในสถานการณ์สำคัญช่วงท้ายซีซั่นและลุ้นแชมป์แบบนี้
ก็เลยต้องจำใจจำยอม ทั้งที่นำจ่าฝูงก่อนเข้าเดือนมีนาคมแท้ๆ
.....เหตุการณ์ข้างต้นไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่นำเสนอฉายไปสู่สังคมโลกไปเมื่อปี 2008 ทีมด้านบนที่ทำสถิติอันน่าผิดหวังเอาไว้ว่า เป็นทีมเดียวในรอบ 8 ปีหลังสุดนับจนถึงปีปัจจุบันว่า นำจ่าฝูงมาจนถึงเดือนมีนาคม แต่กลับทำแชมป์พรีเมียร์ลีกหลุดมือ
นั่นคือ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล
ระหว่างช่วงเวลาแห่งความระส่ำนั้น พวกเขายังร่วงตกรอบรายการสำคัญอีก 3 รายการ ก่อนที่จะเดินเข้าสู่ปีแห่งความโศกเศร้า ที่ลุ้นถึง 4 แชมป์แต่กลับมือเปล่า
เรื่องทั้งหมดที่เอ่ยมานั้น มันเกี่ยวดองหนองยุ่งกับปีปัจจุบัน เนื่องจากนาทีนี้ จ่าฝูงฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ได้มีการ “เปลี่ยนมือ” เรียบร้อยแล้ว
จากเดิมที่เป็นของ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลายมาเป็น “ปิศาจแดง”แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สดๆ ร้อนๆ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง
หลังจากทำท่าอยู่หลายครั้ง เฉี่ยวไปเฉียดมาก็หลายที โดยเฉพาะเกมที่ทุกคนจำได้ดี นั่นก็คือวันส่งท้ายปีเก่า ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เรียกมันว่า “วันเกิด”
แต่พวกเขากลับทะลึ่งแพ้ แบล็คเบิร์น ที่ไม่มีสภาพคาบ้านตัวเองไปแบบสิ้นสภาพ
มาในวันนี้ ยูไนเต็ด สามารถกลับมายึดหัวหาดได้สำเร็จ ถือเป็นการแสดงความอดทนในการเล่น อดทนในการไล่ล่า เพราะหากจะนับกันแล้ว พวกเขาตามหลัง ซิตี้ คู่ปรับร่วมเมืองมานานมาก นับตั้งแต่เกมที่ 7 ของซีซั่น
2 ตุลาคม 2011 นับจากวันนั้นถึงวันนี้ ยูไนเต็ด ตามหลังมานานมาก นานถึง 5 เดือนด้วยกัน
จะบอกก็ได้ว่า เมื่อถึงแรงเสียดสีแบบนี้ ซิตี้ เริ่มจะพบกับ “มือที่มองไม่เห็น” เป็นที่เรียบร้อย เหมือนกับหลายๆ ทีมที่โดนมาตลอด ผมได้ยินคำนี้เสมอว่า “ทนความกดดันไม่ไหว” รวมไปถึง “การหลุดโค้ง” มาตั้งแต่ดูบอลใหม่ๆ
แอสตัน วิลล่า ปี 1990 กับ 93, แมนฯยูไนเต็ด ปี 1992 ชัดเจนที่สุดก็คือ นิวคาสเซิล ปี 1996
รับได้หมดทุกอย่าง ทำได้หมดทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเดียวคือ แบกความกดดันเอาไว้ไม่ไหว
มันเป็นสิ่งที่ทำให้พังกันมาเยอะแล้ว และมันจริงหรือเปล่าที่ เรือใบเลี่ยมทองลำมโหฬาร นอกจากจะขนเงินทองลอยละล่องอยู่กลางท้องทะเล แต่ตอนนี้เรือกำลังเอียงกะเท่เร่ 16 เกมหลังเสียไปถึง 16 แต้ม
ด้วยความกดดันจากเงินของพวกเขาเองซะแล้ว!
บี แหลมสิงห์