เมอร์ซี่ไซด์ ดาร์บี้แมตช์
หากจะมองย้อนกลับไปนี่คือเกมแห่งตำนานที่หลายคนจะพลาดไม่ได้
เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ ไม่ว่าเมื่อไหร่ อย่างไรสถานการณ์จะขนาดไหน คอฟุตบอลยังให้ความสนใจเหมือนเดิม เมื่อสองพี่น้องมาเจอกัน
ไม่ได้ใส่กันไฟแล่บ ไม่ได้หวดกันแบบเอาเป็นเอาตาย แต่เป็นเรื่องของคนในครอบครัวที่ดังกระฉ่อนโลกจริง ๆ
ดาร์บี้แมตช์เดียวที่แฟนฟุตบอลทั้งสองทีมสามารถนั่งปะปนกันได้ ไม่มีการไล่ดักแทง ไล่กระทืบ เพราะแทบจะเป็นพี่น้องกันทั้งสนาม
เพราะเขาเหล่านี้มาจากเทือก มาจากรากเหง้าเดียวกัน
ลิเวอร์พูล กับ เอฟเวอร์ตัน ปัจจุบันบนความหมายของความยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แล้ว แต่ถือเป็น”ขั้วอำนาจเก่า”ที่ยังคงเหนียวแน่นอยู่ในฟุตบอลลีกระดับสูงสุด การเจอกันในทุกวันนี้ไม่ใช่เป็นการประหักประหารเพื่อที่จะก้าวไปสู่แชมป์
แต่เป็นการต่อสู้เพื่ออยู่รอด
สังคมเปลี่ยนไปชัดเจน สถานการณ์ของคู่นี้ก็เปลี่ยนตาม น่าสนใจมาก ๆ ว่า เคนนี่ ดัลกลิช คือคนที่ก้าวผ่าน เอฟเวอร์ตัน เพื่อสู่ความสำเร็จไปหลายครั้งหลายคราวที่สามารถจับต้องได้
ชนะ เอฟเวอร์ตัน 3-1 เป็นแชมป์เอฟเอ คัพ ปี 1986 พร้อมกับคว้าดับเบิ้ลแชมป์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่
ชนะ เอฟเวอร์ตัน 3-2 เป็นแชมป์เอฟเอ คัพ ปี 1989 เพื่อเยียวยาจิตใจแฟนฟุตบอลที่เสียชีวิตเฉียดร้อยในโศกนาฏกรรมที่ฮิลล์สโบโร่
ดัลกลิช สามารถชนะยอดกุนซือของเอฟเวอร์ตัน อย่าง ฮาวเวิร์ด เคนดัลล์ รวมไปถึง โคลิน ฮาววี่ย์ ได้สำเร็จ แต่บ่อยครั้งเช่นกันที่ ดัลกลิช ก็เจ็บปวดเพราะพิษแข้งของทอฟฟี่เมน
แพ้ เอฟเวอร์ตัน 0-1 หยุดสถิติไม่แพ้ใครไว้ที่ 29 นัด ทำได้แค่”เทียบเท่า”กับ ลีดส์ ยูไนเต็ด
เสมอ เอฟเวอร์ตัน 4-4 ทั้งที่ออกนำก่อนทุกครั้ง ทำให้ ดัลกลิช ทนไม่ไหวต้องลาออกจากตำแหน่งกุนซือ และปล่อยให้ ลิเวอร์พูล ออกทะเลไปยาวนานจนกระทั่งบัดเดี๋ยวนี้
ปีก่อนก็แสบบุกมาเสมอ 2-2 ในวันที่ ดัลกลิช รีเทิร์นแอนฟิลด์ซะงั้น
การได้แชมป์คาร์ลิ่งคัพ มาครอง คือความสำเร็จที่รวดเร็วเกินคาดเอาไว้ มองได้ก็คือนี่เป็นแชมป์แบบ”ยาชูกำลัง”แต่มันอาจจะไม่ได้หมายถึง การคัมแบ๊คกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ก็เป็นได้
หากเราดูจากฟอร์มการเล่นในปัจจุบันของ ลิเวอร์พูล
เกมกับ อาร์เซนอล เล่นได้อย่างสุดยอดแต่แพ้ จากนั้นในไฟท์ล่าสุด เล่นได้ย่ำแย่และก็แพ้ให้กับ ซันเดอร์แลนด์ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับ ลิเวอร์พูล ในยุคเคนนี่ รีเทิร์น
พูดกันตรง ๆ ก็คือ ลิเวอร์พูล ยังหาทีมที่ลงตัวไม่ได้
ดัลกลิช คือคนที่แปลกอย่างหนึ่งก็คือ หากใครพลาดสักครั้งเขาจะประหารทันที ตัวอย่างมีแล้วคือ จอห์น ฟลานาแกน แต่ถ้ารักใครจริงชอบใครจริงก็จะตะบันให้เล่นอยู่นั่น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กำลังได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้
ขณะที่พวกลูกชังอย่าง สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง, ชาร์ลี อดัม หรือ เดิร์ค เคาท์ เข้า ๆ ออก ๆ ในทีมชุดใหญ่ เหตุการณ์แบบนี้หากใครเป็นแฟนหงส์ในยุคแรกของ ดัลกลิช คงจะสัมผัสได้
แยน โมลบี้ เคยถูกดองเค็มปิ๊ดมาแล้ว แต่ในทางกลับกัน ไนเจล สแป็คแมน กลับได้เล่นอยู่นั่นแหละ
เช่นเดียวกับแบ๊คซ้ายในตอนนั้น แกรี่ แอ็บเล็ตต์ ผู้ล่วงลับ มีการเล่นที่นิ่งกว่า จ่ายบอลได้แม่นกว่า แต่ ดัลกลิช ชอบที่จะส่ง เดวิด เบอร์โรวส์ กับ สตีฟ สตอนตัน ลงสนาม
ว่ากันตามเชิงความบิ๊กไซซ์ใหญ่เบิ้มของ ดัลกลิช ไม่มีใครกล้าแตะ ทั้งที่วัดกันถึงเวลานี้ผลงานในลีกนั้นถือว่า แย่ที่สุดตั้งแต่เขาคุมทัพลิเวอร์พูลทั้งสองยุคเลยทีเดียว
ในทางตรงกันข้าม เดวิด มอยส์ ฉลอง 10 ปีกับ เอฟเวอร์ตัน ไปเรียบร้อย กลับไม่ค่อยได้งบประมาณในการซื้อตัวเท่าไหร่นัก ยากจริง ๆ ที่จะคว้าคนที่ต้องการเข้ามา แต่ก็ยังเอาตัวรอดมาได้ และพาทีมได้ไปลุยบอลยุโรป แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ
แต่ก็ไม่มีใครด่าเช่นเดียวกัน
เม็ดเงินเท่านี้ ทำทีมได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเฮงแล้ว
หากเทียบความยิ่งใหญ่ ดัลกลิช กับ มอยส์ ถือว่าคนละเรื่อง แต่บนเวทีสนามจริงเวลานี้ ทุกอย่างจะได้รับการพิสูจน์อีกครั้งในคืนวันอังคารนี้
กระแสแอนตี้ ดัลกลิช เริ่มก่อตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ แบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่มันจะเบาบางลงไป เจือจางลงไป หากสามารถเอาชนะได้ เพื่อตอกย้ำวลีอมตะของ บิลล์ แชงคลี่ย์ ยอดปรมาจารย์แห่งแอนฟิลด์ที่บอกว่า ทีมที่ดีที่สุดในเมอร์ซี่ย์ไซด์คือ ทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูล กับ ทีมสำรองของลิเวอร์พูล
แต่ถ้ามันออกตรงกันข้ามขึ้นมา และเกิดพลาดแพ้ขึ้นมาอีก นอกจาก เอฟเวอร์ตัน จะแซงหน้าทันที 1 คะแนน แล้วอย่างอื่นคงไม่ต้องอธิบายต่อไปให้เสียเวลา
เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ สร้างตำนานมานักต่อนักให้กับ ดัลกลิช และครั้งนี้ก็เช่นกัน อยู่ที่ว่าใครจะเป็นคนกำหนด
“สวรรค์”หรือ “นรก”คือผู้บันดาล!
บี แหลมสิงห์