จับมือกันไว้ลูกหนังไทย
การที่จะพัฒนาอะไรซักอย่างให้ดีขึ้น หรือทำให้เจริญก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง มันก็คงต้องใช้เวลา และใช้ความร่วมมือร่วมใจกันของหลายต่อหลายฝ่าย เพื่อทำให้สิ่งๆนั้นดีขึ้น
แต่ถ้าหากเกิดความแตกแยก และไม่มีการร่วมมือกันแล้วไซร้ การจะพัฒนาอะไรซักอย่างมันก็คงจะเป็นเรื่องที่ยาก และหนักเอาการเลยทีเดียว
เช่นเดียวกับวงการลูกหนังบ้านเรา ทั้งทีมชาติ และลีกอาชีพ ถ้าหากอยากจะให้มีการพัฒนา และเจริญก้าวหน้าทันต่อนานาประเทศ ที่นำหน้าเราอยู่หลายช่วงตัว อย่างญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ หรือแม้แต่ออสเตรเลีย
ทุกคนทุกฝ่ายทั้งสมาคมฟุตบอล, สโมสรสมาชิก และทุกคนที่เกี่ยวข้องก็คงต้อง “จับมือ” และร่วมด้วยช่วยกัน ระดมความคิด เพื่อหาทางออก และแก้ไข้ปัญหาต่างๆ ให้ได้เร็วที่สุด
ซึ่งก็เชื่อเหลือเกินว่าซักวันหากทุกคนทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากันได้ ช่วยกันทำงานได้ วงการลูกหนังบ้านเราคงจะเจริญก้าวหน้าทันนานาประเทศแน่นอน...คอนเฟิร์ม
แต่นั้นก็คงเป็นเพียงแค่ความฝัน หรือเป็นเรื่องของอนาคต...
เพราะทุกวันนี้วงการฟุตบอลแห่งดินแดงขวานทอง ไม่ได้เป็นอย่างที่ผู้เขียนบรรยายไว้ข้างต้น ว่าทุกคนต้องร่วมมือกัน
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ววงการลูกหนังบ้านเราในวันนี้ ล้วนแล้วแต่ยังคงมีการแบ่งพรรค แบ่งพวกกันอยู่ ไม่คิดที่จะเปิดใจซึ่งกันและกัน พยายามที่จะเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ มันจึงทำให้วงการฟุตบอลบ้านเรายังคงไม่เจริญซักที
ที่ผู้เขียนออกมาสาทะยายอย่างนี้ก็เป็นเพราะว่า จากการที่ได้ติดตามทำข่าวมา รวมไปถึงติดตามวงการลูกหนังมาตั้งแต่สมัยที่เป็นวัยละอ่อน ก็ยังไม่เคยเห็นฟุตบอลไทยพัฒนาอะไรอย่างจริงจังเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนามาตรฐานของ “เชิ้ตดำ” หรือที่เราๆ ท่านๆเรียกกันว่าท่านเปา ผู้ผดุงความยุติธรรม (แต่ก็คงไม่ใช่ในเมืองไทย) ซึ่งเมื่อไม่กี่วันมานี้เห็นว่ามีการประชุม ระดมความคิด เพื่อที่จะช่วยกันพัฒนาวงการผู้ตัดสินบ้านเรา
ระหว่าง “เสธ.ตุ้ม” พล.ต.ชินเสณ ทองโกมล ประธานคณะกรรมการผู้ตัดสินสมาคมฟุตบอล, ดร.วิชิต แย้มบุญเรือง ประธานบริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด และตัวแทนสโมสรในศึกไทยพรีเมียร์ลีก
ซึ่งก็มีหลายประเด็นที่ถกเถียงกันโดยเฉพาะเรื่องของมาตรฐานในการตัดสินของผู้ตัดสิน ซึ่งตัวแทนไทยลีก ต้องการที่จะให้มีตัวแทนของทีมๆละ 1 คน เข้าไปร่วมบริหารไทยลีก และร่วมประเมินผู้ตัดสิน เพื่อให้เกิดการปรับปรุงในการทำหน้าที่ และเกิดการพัฒนาไปในรูปแบบเดียวกัน และมีความเข้าใจตรงกัน
โดยตัวผู้เขียนเองก็ว่าแนวคิดนี้ดูดี ดูเข้าท่ามาก เพราะจะได้มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงในแบบๆเดียวกัน เวลามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น จะได้ไม่ต้องมีปัญหามาด่าทอกัน มาฟ้องร้องศาลนู้น ศาลนี้ เหมือนๆกับในอดีตที่ผ่านมา
แต่ทว่าผู้เป็นใหญ่ของเชิ้ดดำ กลับปฎิเสธเสียงแข็งไม่ต้องการให้สโมสรต่างๆ เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของเชิ้ดดำ โดยให้เหตุผลประมาณว่า
“ผู้แทนแต่ละทีมจะมีความรู้ความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน และถ้าเกิดผู้แทนทีมนั้นๆไม่ถูกโฉลกกับผู้ตัดสิน คะแนนที่ออกมาจะเป็นอย่างไร ดังนั้นจึงไม่สมควรที่จะให้เข้ามายุ่งเกี่ยว เพราะเราเองก็มีมาตรฐานและกฎเกณฑ์ตามแบบของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาตื หรือฟีฟ่า อยู่แล้ว”
จากคำพูดเหล่านี้มันบงบอกได้หลายต่อหลายอย่าง และตีความไปได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะตีความไปในแบบใด แต่โดยสวนตัวผมเองกลับคิดว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ทีมสโมสรกับผู้ตัดสินก็คงยังจะมีปัญหากันต่อไป
ทางทีดีผมว่าทุกฝ่ายน่าจะหันมาจับมือ และเปิดใจให้กว้าง เพื่อช่วยกันพัฒนาวงการฟุตบอลไทยจะดีกว่า แล้วทุกอย่างจะดีเอง
เชื่อหัวไอ้เรือง...เถอะ
เครดิตภาพ : ZooGo จาก ไทยแลนด์สู้สู้
ปากบอน