ถึงเวลา "อินทรีเหล็ก" สยายปีก!
รายการ "ฟีฟ่า คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ 2017" ที่รัสเซีย จบไปด้วยความสำเร็จของวงการฟุตบอลเยอรมนีอีกครั้ง หลังจากที่พวกเขาคว้าแชมป์โลกที่บราซิล เมื่อราว 1 ปีที่ผ่านมา
เมื่อเอ่ยถึง ทีมชาติเยอรมนี อดที่จะชื่นชมพวกเขาไม่ได้ ทีมชุดคว้าแชมป์ในครั้งนี้ จัดว่าเป็นทีม ชุด "บี" ที่ทาง เดเอฟเบ ตัดสินใจส่งเข้าประกวด เพื่อหาประสบการณ์ แต่สุดท้าย ทีมชุด "พลังหนุ่ม" ไม่เพียงได้จะได้สัมผัสรายการใหญ่อย่างที่ต้องการพวกเขายังเฉือน ทีมชาติชิลี แชมป์อเมริกาใต้ ที่ว่ากันว่ามีทีมที่ดีที่สุดในรอบหลายปี ลงไปได้ในรอบชิงชนะเลิศ 1-0 คว้าแชมป์รายการ "คั่นเวลา" ของฟีฟ่ามาครองได้อย่างน่าประทับใจ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ทีมเยอรมนี "จูเนียร์" ชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี เพิ่งคว้าแชมป์ยุโรป ในการแข่งขันที่ โปแลนด์ มาครองได้ ด้วยการปราบเด็กสเปน ในรอบชิง 1-0 เช่นเดียวกัน
อะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จที่ต่อเนื่อง ของทีม อินทรีเหล็ก?
"เดอะ การ์เดี้ยน" สื่อดังของอังกฤษ เคยวิเคราะห์ความสำเร็จของ ทีมชาติเยอรมนี ตั้งแต่เมื่อครั้งครองแชมป์โลกที่บราซิล ว่าทีมชาติเยอรมนีที่เคยล้มเหลวไม่เป็นท่าจากศึกยูโร 2000 จบอันดับบ๊วยในรอบแบ่งกลุ่ม ทั้งเดเอฟเบ และสโมสรต่างๆในเยอรมนี ต่างเห็นพ้องต้องกัน ในการชำระล้างระบบการสร้างนักเตะเยาวชนขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โดยเน้นไปในเรื่องของการสร้างและพัฒนานักเตะที่เพียบพร้อมไปด้วยเทคนิค มากกว่าสร้างนักเตะที่มีความแข็งแกร่งเหมือนกับในอดีต โดยทุกทีมในสองลีกสูงสุดของประเทศ พร้อมใจและเต็มใจที่จะเดินตามแนวทางนี้
การแปลงโฉมฟุตบอลเยอรมัน ส่งผลในทางบวก สอดคล้องกับการทำงานของ เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ บุนเดสเทรนเนอร์ ที่ปรับแนวรุกของทีมให้มีความรวดเร็ว ไหลลื่น และเด็ดขาด และยังส่งผลไปถึงนักเตะเยาวชนในยุคนั้น ที่เรียนรู้ ซึมซับ และถูก "ฝังหัว" ด้วยสไตล์การเล่นของทีมในยุคใหม่โดยไม่รู้ตัว
ทีมเยอรมนี ในยุคของ คลิ้นซี่ พร้อมทั้ง โจอาคิม เลิฟ มือขวาในตอนนั้น สร้างผลงานได้อย่างน่าประทับใจ ในหลายรายการติดต่อกัน เริ่มตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2006 ในบ้านตัวเอง ยูโร 2008 ฟุตบอลโลก 2010 และยูโร 2012 ที่เข้าถึงอย่างน้อยรอบรองชนะเลิศ
แต่สุดท้าย พวกเขายังไปไม่สุด ความพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งอย่างฉิวเฉียด ทั้งในรอบรองชนะเลิศและชิงชนะเลิศ ในรายการต่างๆที่กล่าวมา ก็สร้างความตึงเครียดและผิดหวัง ให้กับทั้งนักเตะและแฟนบอลไม่ใช่น้อย
จากนั้นไม่นาน ผลผลิตของเยอรมนี สุกงอมเต็มที่ ในยุคของ เลิฟ ที่ขยับขึ้นมารับไม้ต่อจากฉลามขาว แรกเริ่มในยุคของเลิฟ ใช้นักเตะทีมชาติชุดแชมป์อายุต่ำกว่า 21 ของยุโรปในปี 2009 เป็นแกนหลัก ทั้ง มานูเอล นอยเออร์, แม็ตส์ ฮุมเมลส์, ซามี่ เคห์ดิร่า, เมซุต โอซิล ผนึกกำลังกับนักเตะอายุน้อย แต่มากประสบการณ์ อย่าง โธมัส มุลเลอร์, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์, ลูคัส โพดอลสกี้ ในที่สุด หลังจากที่ร่วมเล่นกันมายาวนาน พวกเขามาถึงเป้าหมายที่ต้องการ นั่นคือ การคว้าแชมป์โลก ที่บราซิล
ทีม "อินทรีเหล็ก" ยุคใหม่ แม้ว่าจะเต็มไปด้วยนักเตะระดับโลก แต่พวกเขาไม่ได้หวังพึ่งนักเตะเพียง 1 หรือ 2 คน
ในแต่ละเกม ทุกคนในสนาม รวมถึงตัวสำรอง ต่างมีบทบาทสำคัญในการผลักดันทีม หลายครั้งต้องเจอคู่แข่งที่มีนักเตะที่ดีกว่า แต่ไม่มีทีมไหนที่มีเคมีเข้ากันได้ลงตัว อย่างทีมของ เลิฟ
ความสำเร็จของ เยอรมนี จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ จากยุคตกต่ำ แก้ไขด้วยการทำงานหนัก การร่วมแรงร่วมใจ พัฒนาอย่างจริงจัง สไตล์การเล่นที่ทันสมัย และสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งของคนเยอรมัน คือความแตกต่าง ที่มักทำให้พวกเขาเหนือกว่าคู่แข่งในเกมที่มีความหมาย
ทั้งหมด คือสิ่งที่ทำให้ สไตล์ฟุตบอลเยอรมัน กลับมายิ่งใหญ่ และครองใจแฟนบอลทั่วโลกได้อีกครั้งหนึ่ง
ตัวอย่างที่ดีก็มีให้เห็น ปล่อยวาง หันหน้าหากัน ช่วยกันพัฒนาวงการฟุตบอลบ้านเรา คนละไม้ละมือ อยากชื่นใจแบบแฟนบอลเยอรมัน บ้าง เบียร์ก็อร่อย บอลก็แซ่บ เฮ้อ
จบมันดื้อๆแบบนี้ละครับ แล้วพบกันใหม่