แชมป์ของมอยส์
ฟุตบอล : ประเดิมถ้วยแชมป์แรกในชีวิตการคุมทีมอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว สำหรับ เดวิด มอยส์
แน่นอนว่าหากไม่นับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือน ที่คว้ามาได้ถึง 10 ครั้งสมัยคุม เอฟเวอร์ตัน หรือ ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปี 3 สมัย แม้กระทั่งแชมป์ลีกทู สมัยตั้งไข่กับ เปรสตัน
ถาดแชมป์คอมมูนิตี้ชิลด์ คือเกียรติประวัติแรกเริ่มอย่างเป็นทางการของ เดวิด มอยส์ กุนซือวัย 50 กระรัต
เช่นกัน เป็นการเริ่มต้นนับหนึ่งกับความสำเร็จกับการนั่งแท่นคุมทัพ แมนฯ ยูไนต็ด ในขวบปีแรกที่รับไม้ต่อจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
เดวิด มอยส์ คว้าแชมป์ใบแรกกับ แมนฯ ยูฯ
แม้ว่าจะเป็นแค่ถ้วยการกุศลก่อนฤดูกาลแข่งขันจริงจะเปิดฉากในอีก 1 สัปดาห์ถัดไป แต่เชื่อว่าถาดแชมป์ใบนี้มีความหมายยิ่งกว่าทองคำสำหรับ เดวิด มอยส์ ในแง่ของความมั่นใจในการทำทีมระดับแชมเปี้ยน
เป็นที่รู้ๆ กันว่า 11 ปีแห่งความหลังในถิ่นกูดิสัน พาร์ค ของ มอยส์ ได้มอบความสุขให้เหล่าสาวก "เอฟเวอร์โตเนี่ยน" มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ขาดอย่างเดียวคือแชมป์
ฉายา "ราชันไร้มงกุฏ" (อันนี้ตั้งเอง) มิได้มาเพราะโชคช่วย หากเทียบผลงานในการคุมทีมที่มีทุนทรัพย์จำกัดอย่าง เอฟเวอร์ตัน แล้ว มอยส์ สอบผ่านฉลุย เจ๋งกว่าโค้ชหลายๆ คนที่มีเงินให้ถลุงไม่จำกัดอยู่หลายขุม
แชมป์แรกของ มอยส์ กับบรรดาสตาฟฟ์โค้ชชุดใหม่
แต่กับทีมระดับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เต็มไปด้วยความคาดหวังต่างๆ นานา ถาโถมเข้ามาไม่เว้น ชัยชนะเท่านั้นคือสิ่งที่จะทำให้ก้าวผ่านความกดดันเหล่านี้ไปได้
ต้องบอกว่าหายใจโล่งไปเปราะหนึ่งสำหรับ เฮียมอยส์ หลังจากผลงานทัวร์ปรีซีซั่นไม่เอาอ่าวจริง ชนะแค่ 2 จาก 6 เกม แถมเสียประตูทุกนัด รวมถึงเกมแพ้ เซบีย่า 1-3 คารัง ในแมตช์เกียรติยศของ ริโอ เฟอร์ดินานด์
เกมชิงโล่การกุศลกับ วีแกน เจ้าของแชมป์เอฟเอ คัพ ซีซั่นที่แล้ว มอยส์ จัดทัพชุดที่มีความพร้อมมากที่สุด ด้วยระบบที่มองเผินๆ อาจจะเป็น 4-4-2 และยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเกม
ราฟาเอล มีอาการเจ็บ ต้องถูกถอดตั้งแต่ต้นเกม
เนมานย่า วิดิช สวมปลอกแขนกัปตันทีม ยืนแนวรับคู่กับ ฟิล โจนส์ ในช่วงแรก ก่อนที่ โจนส์ จะถูกถ่างออกฝั่งขวาแทนที่ ราฟาเอล ที่มีอาการบาดเจ็บเอ็นหลังหัวเข่า ตั้งแต่นาที 16 ส่ง คริส สมอลลิ่ง ลงมายืนเซ็นเตอร์
หัวใจสำคัญในแดนกลางยังเป็น ไมเคิ่ล คาร์ริค ที่รับหน้าที่คุมเกมได้ตามมาตรฐานที่เคยทำไว้ตั้งแต่ซีซั่นที่ผ่านมา ยืนคู่กับ ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์
ไรอัน กิ๊กส์ "ปีกพ่อมด" วัยย่าง 40 กระรัต รับบทบาททั้งปีกซ้าย และศูนย์หน้าตัวต่ำ ผลัดเปลี่ยนกับ แดนนี่ เวลเบ็ค ที่ต้องถ่างออกด้านกว้างกลายเป็นระบบ 4-2-3-1 หรือ 4-4-1-1 ในยามที่ขาใหญ่ของทีมหุบเข้าทำเกมแดนกลาง
ไรอัน กิ๊กส์ โชว์เพลงแข้งในวัยใกล้หลักสี่
ประตูแรกที่เกิดขึ้นตั้งแต่ไก่โห่ ต้องชมความขยันของ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ลงต่ำมาล้วงบอลเอง ก่อนถ่ายออกฝั่งซ้ายให้ ปาทริซ เอวร่า เปิดโค้งเข้าศีรษะหัวหอกฟลายอิ้งดัตช์แมน อย่างแม่นยำ ในนาทีที่ 6
จะบอกว่าชงเองกินเองของ "อาร์วีพี" ก็ไม่ผิดเพี้ยนประการใด กับประตูตั้งแต่ต้นเกมสะใจวัยโจ๋ยิ่งนัก ยิ่งเจอกับ วีแกน ยิ่งกว่างูเหลือมกับเชือกกล้วย แฟนบอลเรียกร้อง "เอาอีกๆ"
แต่ "ผีแดง" ยุคนี้เหมือนไม่ทิ้งลายเดิม แทนที่จะเปิดหน้าฆ่าไม่ยั้ง เอาคู่แข่งให้แดดิ้นดับไป มิใช่ แข้งสายพันธุ์ปีศาจกลับถอยร่นลงมาตั้งรับต่ำรอโอกาสสวนงามๆ ตามสไตล์
ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้ว แทบที่จะหาประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการเข้าทำไม่ได้แม้แต่น้อย โดยเฉพาะเกมทางริมเส้นฝั่งขวาของแข้งใหม่วัยคะนอง วิลเฟร็ด ซาฮา ยังต้องใช้เวลาเรียนรู้อยู่พอสมควรกับเกมระดับสูง
วิลเฟร็ด ซาฮา (ซ้าย) วูบวาบตามสไตล์ แต่ต้องใช้เวลาปรับตัวพอสมควร
จริงอยู่ว่า ซาฮา คือแข้งผู้ที่พระเจ้าเสกมาให้พร้อมกับพรสวรรค์อันเปี่ยมล้นเหนือกว่าชายใดในวัยเดียวกัน แต่เท่าที่เห็นยังเล่นแบบเน้นโชว์จนเกินเหตุ เสียบอลอยู่บ่อยครั้ง นี่ถ้าปรับตัวได้เมื่อไหร่ แมนฯ ยูฯ จะได้ประโยชน์จากแข้งรายนี้ไม่น้อย
ต่อกันที่รูปเกมที่มีแต่ทรงกับทรุดตั้งแต่ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกกระทั่งถึงต้นครึ่งหลัง แมนฯ ยูฯ เล่นเหมือนทิ้งลายแชมป์ โดนกดดันอยู่หลายดอก ก่อนที่ "อาร์วีพี" จะทำให้แข้ง "อสูรแดง" ผ่อนคลายขึ้นเยอะกับประตูที่ 2 นาที 59
ประตูนี้เหมือนเป็นการหยุดยั้งอหังการของแข้ง "เดอะ ลาติกส์" ไว้ได้อยู่หมัด เพราะก่อนหน้านี้มีโอกาสหวาดเสียวอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะจากลูกเซตพีช ที่สร้างความปั่นป่วนให้แนวรับแชมป์พรีเมียร์ลีก 13 สมัยได้หลายดอก
"อาร์วีพี" ซัดประตูที่ 2 ให้เจ้าตัวและเป็นประตูปิดกล่องให้ทีม
เท่ากับว่าเกมจบหลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายผลัดเปลี่ยนผู้เล่นตามสมควร แต่คนที่เรียกเสียงฮือฮาและน่าฉงนสงสัยมากที่สุดเห็นจะเป็น อันโตนิโอ วาเลนเซีย ปีกสายเลือดเอกวาดอร์
ที่ฮือฮาไม่ใช่เพราะหน้าตาที่หล่อเหลา (ตรงไหน) อย่างกับคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือฝีเท้าที่เก่งกาจขึ้น หรือไม่ อย่างไร แต่เป็นเพราะว่าเจ้าตัวกลับมาสวมเสื้อหมายเลข 25 เบอร์เดิมใน 3 ปีแรกกับทีม หลังทุลักทุเลกับเบอร์ 7 อยู่ 1 ซีซั่นเต็มๆ
เหล่าสาวก "เร้ดอาร์มี่" งงกันทั้งผองสิครับงานนี้ ท่ามกลางข่าวลือต่างๆ นานา ที่สะพัดไปทั่วกับการหาตัวแทนที่เหมาะสมมาสวมเสื้อหมายเลขระดับตำนานอย่าง เบอร์ 7
อันโตนิโอ วาเลนเซีย เปลี่ยนจากเบอร์ 7 มาใส่เบอร์ 25 เบอรืเดิมแบบงงๆ
ลุ้นตัวโก่งล่ะงานนี้ใครจะมาใส่เบอร์ 7 คนต่อไป ในเมื่อ มอยส์ ยืนยันแล้วยืนยันอีกว่าหาแข้งใหม่ได้แน่ และมีเซอร์ไพรส์อย่างแน่นอน ปล่อยให้ นิค พาวล์ เคว้งไปก่อนกับเบอร์เสื้อที่ยังหาที่ลงไม่ได้
นอกจากจะหยิบแชมป์แรกให้สาวกเชยชมแล้ว เดวิด มอยส์ ยังทิ้งปริศนาธรรม 2 ประเด็นใหญ่ไว้ให้แฟนบอลได้ตามติดในตอนต่อไป
ละครฉากใหญ่ใกล้ถึงตอนอวสาน ...รูนี่ย์ จะอยู่หรือไป? แล้วใครจะมาใส่เบอร์ 7 ? คำตอบรออยู่เบื้องหน้า
-จ่าตุ๊-
(tuta_giggs11@hotmail.com)