เมื่อโลกของฟุตบอลเปลี่ยนไป
ฟุตบอล : เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา มาร์ก้า สื่อชื่อดังของสเปนออกมาตีข่าวว่า คาร์โล อันเชล็อตติ นายใหญ่ของทีม เรอัล มาดริด พร้อมจะเฟ้นหาระบบการเล่นรูปแบบใหม่ เพื่อให้นักเตะอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ แกเร็ธ เบล เล่นร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ฟุตบอลในสมัยนี้แตกต่างจากฟุตบอลในสมัยที่ผมเริ่มดูบอลแรกๆพอสมควร ทุกอย่างเปลี่ยนไปแบบก้าวกระโดด ฟุตบอล ไม่ใช่แค่ ฟุตบอล อีกต่อไปแล้ว มันมีเรื่องของการเงิน กำไร ขาดทุน การตลาด ภาพลักษณ์ ฯลฯ เข้ามาเกี่ยวข้อง ค่าตัวของนักเตะก็แพงขึ้นตามกาลเวลา และดูเหมือนว่าเปอร์เซ็นต์การอัพค่าตัวของนักเตะจะแพงขึ้นในทุกๆปี
ย้อนไปสัก 15-20 ปีที่แล้ว นักเตะที่มีค่าตัวหลัก 10 ล้านปอนด์ นี่ถือว่าแพงมาก แต่ปัจจุบัน 80 ล้านปอนด์ ยังไม่ใช่ค่าตัวที่แพงที่สุดในโลกเลย ทุกคนที่อยู่วงการนี้ต้องปรับตัว ทีมเล็กก็อยู่ลำบากหน่อย อาศัยปั้นเด็กขึ้นมาทดแทนให้ทัน ทีมไหนทำไม่ได้ก็มีสิทธิ์หายไปตามกาลเวลา
แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมเขียนเรื่องในวันนี้ก็คือ หลังจากที่ได้เห็นบทสัมภาษณ์ของ คาร์โล อันเชล็อตติ ที่บอกว่า พร้อมจะหาระบบการเล่นให้เข้ากับนักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลก อันดับ 1 และ 2 เพื่อที่จะทำให้ทั้งคู่เล่นด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
คำถามแรกที่แว๊บเข้ามาในใจก็คือ สมัยนี้โค้ชต้องทำเพื่อนักเตะแล้วหรือ ?
สมัยที่ผมดูบอลแรกๆนั้นต้องยอมรับว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นโค้ชที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จมากที่สุด มองกันอย่างเป็นกลางด้วยรางวัลที่การันตีเต็มตู้โชว์ และโปรไฟล์แชมป์ที่ยาวเหยียด
คาแร็กเตอร์ที่ป๋าพยายามจะปลูกฝังลงไปในทีมก็คือ การเล่นเป็นทีม ไม่มีใครจะอยู่เหนือกว่าทีม ทีมเวิร์คต้องมาก่อน อยู่ได้ด้วยระบบ ใครที่เล่นเพื่อตัวเองมักจะอยู่ในทีมได้ไม่นาน และที่สำคัญ ไม่ได้บ้าทุ่มซื้อนักเตะที่มีราคาแพงแบบโอเวอร์
ริโอ เฟอร์ดินานด์, ฮวน เซบาสเตียน เวรอน, ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ เป็นนักเตะในกลุ่มค่าตัวแพงที่สุดที่ เฟอร์กูสัน นำเข้ามาสู่ทีม และถึงแม้ว่าจะเข้ามาด้วยค่าตัวเท่าไหร่ หากฟอร์มไม่ดี หรือรู้สึกว่าใครไม่ได้เล่นเพื่อทีม หรือลงไปแล้วไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อทีม นักเตะเหล่านี้ก็มีสิทธิ์นั่งอยู่ข้างสนามได้เช่นกัน บางรายโดนขายออกไปแบบไม่เหลือเยื่อใยด้วย
ไม่ใช่เฉพาะผลงานในสนามเท่านั้น นิสัยส่วนตัว ระเบียบวินัย การทุ่มเท หรือแม้แต่ไลฟ์สไตล์ ก็มีผลต่อการตัดสินใจ ครั้งหนึ่ง เฟอร์กูสัน ออกมาเร่งให้ เดวิด เบ็คแฮม รีบแต่งงานและมีครอบครัว ซึ่งตอนนั้นก็เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของดาวเตะรูปหล่อ เริ่มมีสาวๆเข้ามาพัวพัน
เฟอร์กูสัน มองว่าหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ เบ็คแฮม อาจหลงระเริงและอาจสูญเสียความเป็นนักเตะอาชีพที่ดีได้ จากนั้นไม่นาน เบ็คแฮม ก็ตัดสินใจแต่งงานกับ วิคตอเรีย ซึ่งนั่นก็เป็นส่วนทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะระดับโลกได้จนกระทั่งแขวนสตั๊ด อย่างน้อยก็ไม่เสียผู้เสียคนไปก่อนเวลาอันควร
แต่ในปัจจุบัน ปี 2013 คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือชาวอิตาเลียนที่ไม่ได้มีโปรไฟล์ขี้เหร่แต่อย่างใด ประสบการณ์ก็ถือว่าโชกโชนพอสมควร เอาง่ายๆว่าเป็นยอดฝีมือที่ติดหนึ่งใน 5 ของผู้จัดการทีม ที่ถูกยอมรับมากที่สุดในยุโรปในตอนนี้ก็ว่าได้ มีโอกาสเข้ามากุมบังเหียนทีมอย่าง เรอัล มาดริด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่มี ฟลอเรนติโน่ เปเรซ เป็นประธานสโมสร
ตามนโยบาย ต้องซื้อนักเตะที่มีค่าตัวแพงเข้ามาเสริมทีมในทุกซีซั่น จะเป็นสถิติโลกหรือไม่ ค่อยว่ากันเป็นรายๆไป ล่าสุดก็ แกเร็ธ เบล ที่มีเสียงคัดค้านพอสมควรว่า เหมาะสมแล้วหรือที่นักเตะจะมีค่าตัวสูงขนาดนี้ ประเด็นนี้ตัดไปก่อน ไว้ค่อยตัดสินกันจากผลงานกันเอง แต่สิ่งที่อยากจะกล่าวคือวิธีการจัดการของโค้ชในยุคปัจจุบันมากกว่า
"เราจะจัดเตรียมหาระบบการเล่นที่ทำให้ทั้ง โรนัลโด้ และ เบล สามารถดึงความสามารถของตัวเองออกมาให้มากที่สุด" อันเชล็อตติ กล่าวกับ มาร์ก้า
อ่านไปก็นึกไปว่า นักเตะเข้ามาคนเดียว ทีมจะต้องหาระบบการเล่นใหม่เลยหรือ, นักเตะทุกคนในทีมต้องเตรียมการปรับตัวเพื่อ เบล เลยหรือ ตอนที่ โรนัลโด้ ย้ายเข้ามาก็ไม่เห็นว่าทุกคนในทีมจะต้องสั่นสะเทือนตามไปด้วยขนาดนี้
อย่างว่าแหละครับ หาก อันเชล็อตติ เลือกที่จะซื้อนักเตะเองได้ ก็ไม่รู้ว่าอยากจะได้ตัว เบล มาในราคานี้หรือเปล่า มองมุมดีก็ดี มีคนจับจ่ายใช้สอยให้ แต่มองอีกมุม นักเตะคนนี้จะทำให้ทีมเสียระบบไปหรือเปล่า งานนี้เรียกได้ว่าหากพลาดแม้แต่ก้าวเดียวผลกระทบตามมามากมายแน่นอน
แต่จะให้ทำอย่างไรได้ คนซื้อเข้ามาคือท่านประธานสโมสร ค่าตัวก็แพงซะขนาดนั้น จะให้เอามานั่งตบยุงก็กระไรอยู่ ขืนไม่ให้ดาราประจำทีมลง ก็อาจเป็นตัวเองที่เดือดร้อนได้...
เรื่องโดย : MareK