กมธ.กีฬารับมวยไทยส่อเค้าหลุดซีเกมส์แน่
ประธาน กมธ.กีฬา ชี้ ไทยอาจต้องยอมไม่ส่งมวยไทยลงซีเกมส์ หลัง นายกสมาคมมวยไทยสมัครเล่นฯ เผย พม่าปฏิวัติมวยไทยใหม่หมด
จากกรณีไม่ส่งมวยไทยไปแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 27 ที่พม่า คณะกรรมาธิการการกีฬา วุฒิสภา และกรรมาธิการการท่องเที่ยวและกีฬา สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี นายธเนศ เครือรัตน์ เป็นประธาน ได้เรียก ดร.ศักดิ์ชาย ทัพสุวรรณ นายกสมาคมมวยไทยสมัครเล่นแห่งประเทศไทยฯ เข้าชี้แจงสาเหตุ เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ที่ผ่านมา
หลังจากชี้แจงถึงเหตุผลหลายประเด็นที่ไม่ส่งนักกีฬามวยไทยเข้าร่วมการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 27 โดยเฉพาะกรณีที่ประเทศเจ้าภาพมอบหมายให้ SEAMF ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดตั้งเมื่อปี 2555 และไม่ได้รับการรับรองจาก OCA กับ SportAccord เป็นองค์กรจัดการและควบคุมมวยในซีเกมส์ ซึ่งสมาคมฯ ไม่อาจไปร่วมการแข่งขันได้ เพราะสมาคมมวยไทยสมัครเล่นฯ เป็นสมาชิกของ FAMA และ IFMA ซึ่งมีกฎตายตัวห้ามไม่เข้าร่วมการแข่งขันที่จัดการและควบคุมการแข่งขันโดยองค์กรอื่นที่ไม่ได้อยู่ในขบวนการโอลิมปิค ซึ่งอาจถูกทำโทษลอยแพไม่ให้ร่วมการแข่งขันในเกมส์ระหว่างชาติที่ IFMA FAMA จัดขึ้นในอนาคต ประเด็นต่อมา สมาคมมวยไทยสมัครเล่นฯ อยู่ในระหว่างดำเนินการร่วมกับ IFMA ในการผลักดันมวยไทยเข้าสู่การรับรองของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ซึ่งจะมีการประชุมกันในเดือน ธ.ค.นี้ และ IOC อาจตั้งข้อสังเกตได้ว่า มีองค์กรกีฬามวยไทยระดับนานาชาติอยู่หลายองค์กร แทนที่จะเป็น IFMA เพียงองค์กรเดียว ตามที่ระบุไว้ในใบสมัครเพื่อรับการรับรอง
นอกจากนั้น ดร.ศักดิ์ชาย ยังชี้ว่า ประเทศเจ้าภาพไม่มีความชัดเจนในเรื่องของมวย ซึ่งในการแข่งขันซีเกมส์ครั้งที่ผ่าน ๆ มา แม้จะเรียกว่ามวยแต่ก็ใช้กติกามวยไทย 100% มาตลอดเวลา แต่การแข่งขันครั้งนี้ พม่ากลับประกาศว่าเป็นการแข่งขันมวยไม่ใช่มวยไทย หมายความว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงกติกาการแข่งขัน ตัดเอกลักษณ์และประเพณีการแข่งขันมวยไทยออกไป ทำให้สูญเสียความเป็นมวยไทยที่มนตรีซีเกมส์รับรองไว้ก่อนหน้านี้ สมาคมมวยไทยสมัครเล่นฯ จึงไม่ยอมเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมทำลายรูปแบบและอัตลักษณ์ของมวยไทยในครั้งนี้ ทั้งนี้ เพราะสมาคมฯ เป็นสมาคมในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
นายธเนศ เครือรัตน์ ประธานคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวและกีฬา สภาผู้แทนราษฎร ขอให้นายกสมาคมฯ พิจารณาหาทางออกในการส่งทีมมวยไทยไปแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 27 เพราะขณะนี้ ได้เกิดกระแสชาตินิยมว่ไทยต้องเป็น "เจ้าเหรียญทอง" และตัว ดร.ศักดิ์ชาย เอง ก็ตกเป็นจำเลยของสังคมไปแล้ว ซึ่ง ดร.ศักดิ์ชาย ได้ยืนยันถึงหลักการที่ได้แถลงต่อที่ประชุมไปแล้ว และกล่าวว่า "ผมเองสามารถยิ้มสู้ได้ทุกสถานการณ์ เพราะได้กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง และยึดมั่นในหลักการของกีฬานานาชาติ แต่ถ้าทำผิดหลักการ ผมคงยืนอยู่ในสังคมกีฬาโลกเขาไม่ได้"
คณะกรรมาธิการ ก็สรุปประเด็นว่า สมาคมฯ มีเหตุผลที่สามารถรับฟังได้หลายเหตุผล โดยเฉพาะการผลักดันมวยไทยเข้าสู่การรับรองของ IOC ในเดือนธันวาคม และเป้าหมายในการรักษาเอกลัษณ์ อัตลักษณ์การแข่งขันมวยไทยไว้ให้เป็นศักดิ์ศรีของประเทศไทย ซึ่งเป็นผลประโยชน์ในส่วนที่ประเทศไทยจะได้รับในฐานะผู้ให้กำเนิดศิลปะมวยไทย แต่ในขณะเดียวกันประเทศไทยก็จะสูญเสียผลประโยชน์ในด้านจำนวนเหรียญทองจากการแข่งขัน แต่เมื่อได้รับฟังคำชี้แจงแล้วเราก็ต้องยอมสูญเสีย เพราะ พล.ต.จารึก ก็เคยออกข่าวแล้วว่าโอกาสของประเทศไทยที่จะเป็น "เจ้าเหรียญทอง" มีน้อยมาก แต่อย่างไรก็ดี ไม่รู้ว่าโอลิมปิกไทยกับ กกท. จะเห็นด้วยหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ประธานกรรมาธิการการท่องเที่ยวและกีฬา ประกาศให้กำลังใจนายกสมาคมมวยไทยสมัครเล่นฯ โดยกล่าวว่า จะรับหน้าที่ประสานงานกับ กกท. เพื่อให้มีการปรึกษาหารือหาข้อยุติในเรื่องนี้ต่อไป