ความทรงจำและเป็นไปได้ ขุนพลเสื้อกล้ามไทย
นับจากวันนี้ไปอีก 16 วันข้างหน้า กีฬาของเหล่ามวลมนุษยชาติ "โอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 30" หรือที่เราเรียกกันว่าศึก "ลอนดอนเกมส์" กำลังจะระเบิดศึกขึ้นแล้ว ซึ่งโอลิมปิกเกมส์คงสร้างความตื่นเต้นให้กับคนทั่วโลกได้ไม่มากก็น้อย
โดยส่วนตัวแล้วบอกกันตามตรงผู้เขียนเองรู้สึกตื่นเต้นมากอย่างบอกไม่ถูกกับ "ลอนดอนเกมส์" เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะว่าครั้งนี้จะเป็นโอลิมปิกเกมส์ ครั้งแรกที่ผู้เขียนได้ติดตามอย่างจริงจัง ในฐานะผู้สื่อข่าว ไม่ใช่ผู้เสพติดกีฬา ถึงแม้จะไม่ได้บินลัดฟ้าไปยังสถานที่แข่งขันก็ตาม ซึ่งตัวผู้เขียนเองมีความทรงจำที่ดีกับโอลิมปิกเป็นอย่างมาก ชนิดที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ โดยเฉพาะกับเหล่าขุนพลเสื้อกล้ามไทย
ย้อนความกลับไปเมื่อครั้งที่ "ซูเปอร์แบงค์" ยังเยาว์วัย ก่อนที่สยามประเทศจะมีฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิกคนแรกที่มีนามว่า "ฮีโร่บาส" สมรักษ์ คำสิงห์ เจ้าของคำพูดติดหูที่ว่า "ไม่ได้โม้" เวลานั้นตัวผู้เขียนในวัย 8 ขวบ พ.ศ.2538 มีความชื่นชอบในตัวนักชกรายนี้มาก เนื่องจากได้เห็นเขาขึ้นชกมวยไทยอาชีพเป็นไฟต์สุดท้าย ก่อนจะประกาศเลิกชกในนาม "พิมพ์อรัญเล็ก ศิษย์อรัญ"
ผู้เขียนจำได้ติดตาเลยว่าเขาเอาชนะน็อกได้ด้วยการฟาดแข้งขึ้นไปที่ก้านคอคู่ชกที่ชื่อสุวิทย์เล็ก ส.สกาวรัตน์ ยกที่ 4 ที่เวทีลุมพินี ซึ่งมันยิ่งทำให้ชื่นชอบนักมวยรายนี้มากขึ้นไปอีก หลังจากการชกไฟต์นั้นของ "บาส" ผู้เขียนได้ชักภาพรวมกับเขาด้วย เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก
โดย ณ เวลานั้น "บาส" สมรักษ์ คำสิงห์ ได้โควตาเข้าไปชกโอลิมปิกเกมส์ เป็นครั้งที่ 2 ของเจ้าตัว ในปีค.ศ.1996 ที่แอตแลนตา ประเทศสหรัฐอเมริกา และสุดท้าย "บาส" ก็กลายเป็น "ฮีโร่บาส" ในใจคนไทยทั้งประเทศ หลังจากกระชากเหรียญทอง ประวัติศาสตร์ให้คนไทยได้เชยชม
จากนั้นต่อมาผู้เขียนก็ได้ชักภาพร่วมกับ "ฮีโร่ไทย" อีกหลายราย ไม่ว่าจะเป็น วิจารณ์ พลฤทธิ์, มนัส บุญจำนง และสมจิตร จงจอหอ ซึ่งทุกคนที่ได้ชักภาพร่วมล้วนแล้วแต่ชักภาพก่อนที่จะเดินทางไปแข่งขันทั้งนั้น นี้คือเรื่องเหลือเชื่อที่ได้พบกับตัว เอาไว้จะไปค้นภาพมาลงให้เพื่อเป็นการยืนยัน (ถ้าได้กลับไปที่บ้าน)
กลับมาสู่ความเป็นจริงในปัจจุบัน "ลอนดอนเกมส์" มีขุนพลเสื้อกล้ามไทย ได้เข้าร่วมสังฆกรรมเพียงแค่ 3 ราย กอปรด้วย "คนเล็กใจใหญ่" แก้ว พงษ์ประยูร ในรุ่น 49 กก.ชาย, "นักชกหน้าซื่อ" ฉัตรชัย บุตรดี รุ่น 52 กก.ชาย และ"เจ้าชายแห่งรอยยิ้ม" สายลม อาดี ในรุ่น 60 กก.ชาย โดยทั้งหมดอยู่ในการดูแลของ "โค้ชธง" พ.ต. ธง ทวีคูณ หัวหน้าผู้ฝึกสอน ที่ถือว่ามากประสบการณ์คนหนึ่งของวงการเสื้อกล้ามเมืองไทย
ซึ่งเท่าที่มีการพูดคุยกับ "โค้ชธง" เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของนักชกทั้ง 3 คน ต้องบอกเลยว่าถึงจำนวนจะน้อย แต่ประสิทธิภาพคับแก้ว ทุกคนมีลุ้นได้เหรียญรางวัลติดมือกลับมาฝากคนไทยแน่นอน
โดยเฉพาะ "คนเล็กใจใหญ่" แก้ว พงษ์ประยูร ซึ่งสุดยอดโค้ชยกให้เป็นตัวเต็งจากทั้ง 3 คน เพราะเป็นคนที่มีประสบการณ์ และความแข็งแกร่งของร่างกายมากที่สุด ถึงแม้ขนาดตัว และช่วงชกจะเสียเปรียบคู่แข่งร่วมรุ่น แต่ "คนเล็กใจใหญ่" มีดีในเรื่องเดินเร็ว และชกวงในดีเยี่ยม
ส่วนอีก 2 คนนั้น "โค้ชธง" บอกว่าประสบการณ์น้อย แต่ฝีมือเยี่ยม ก็ขึ้นอยู่กับการจับสลากแบ่งสายแล้วว่าจะไปเจอกับใคร ถ้าโชคเข้าข้างก็ได้ลุ้นกันยาวๆ เรื่องการชกไม่กังวล เพราะเด็กใจสู้ทุกคน แต่กลัวอย่างเดียวคือเรื่องกรรมการ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง คงต้องให้แฟนกีฬาชาวไทยเอาใจช่วย
นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้คุยกับฮีโร่เหรียญเงินคนแรกของสยามประเทศอย่าง "ขาวผ่อง" ทวี อัมพรมหา ยอดนักชก 2 รูปแบบ ก็พูดถึงความเป็นไปได้ของทั้ง 3 คนว่า แก้ว พงษ์ประยูร มีความเป็นไปได้มากที่สุดกับการคว้าเหรียญทอง ขนาด ซู ชิ หมิง ยอดนักชกจากจีน เบอร์หนึ่งของลุ้นนี้ยังกลัวเลย ขณะที่อีก 2 นักชกนั้นถือว่าเป็นดาวรุ่งมีข้อดีก็ตรงที่คู่แข่งไม่รู้สไตล์การต่อยเท่าที่ควร จุดนี้อาจจะทำให้ไปถึงดวงดาวได้เช่นกัน หากมีความมุ่งมั่น และรองรับแรงกดดันได้
แต่จากการคลุกคลีทำข่าว และติดตามความเคลื่อนไหว ของทั้ง 3 คนมา ผมเองมองว่าทั้งหมดน่าจะมีเหรียญติดมือกลับมา เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะทุกคนดูมุ่งมั่น และศึกษาเกมการชกของคู่แข่งกันตลอด อีกทั้งนักชกทุกคนมีฝีมือ และหัวใจเกินร้อย ผมก็ภาวนาให้เป็นอย่างที่ "โค้ชธง" เอ่ยไปคือขอให้การจับสลากอย่าเจอของแข็งในรอบแรกๆ แล้วกัน
ตัวผมเองก็ขออวยพรให้ทั้ง 3 คน ทำได้ตามเป้าหมายที่ตัวเอง และคนไทยทั้งประเทศตั้งเป้าหมายให้ได้ก็แล้วกัน ออ และที่สำคัญคือผมไม่ไม่ลืมที่จะชักภาพร่วมกับทั้ง 3 คนเอาไว้ เพราะชื่นชอบความเป็นกันเองของทั้ง 3 คน อีกอย่างหลายคนคงรู้ว่าจุดประสงค์ที่ผมชักภาพด้วยมากจากอะไร
เอาเป็นว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดขอให้ทั้ง 3 คน กลายมาเป็น "ฮีโร่" เหมือนความทรงจำที่ดีของผมก็แล้วกัน
<< สมจิตร จงจอหอ โอลิมปิค 2008 >>