ศาลโลกรับฟ้อง! 'กร๊อง' จัดหนัก 'ยี' 8ข้อหา โทษถึงแบนตลอดชีวิต
"บิ๊กกร๊อง" วิรัช ชาญพานิชย์ ออกมาเปิดเผยว่าหลังจากเดินหน้ายื่นเรื่องฟ้องร้องต่อศาลอนุญาโตตุลาการกีฬา (ศาลกีฬาโลก) เกี่ยวการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมาซึ่ง "บังยี" วรวีร์ มะกูดี เป็นฝ่ายชนะ ท่ามกลางข้อครหามากมายถึงความไม่โปร่งใสในการเลือกตั้ง ซึ่งปัจจุบัน กรมการปกครอง ยังไม่รับจดทะเบียน เพราะมีหลายสโมสรยื่นคำร้องคัดค้าน
ล่าสุด "บิ๊กกร๊อง" ยืนยันว่าศาลกีฬาโลกได้ประทับรับฟ้องเรียบร้อยแล้ว การยื่นฟ้องครั้งนี้เป็นการฟ้องบุคคลก็คือนายวรวีร์ มะกูดีและพวก โดยมีตนเป็นโจทก์เพียงผู้เดียว เพื่อให้ศาลกีฬาโลกตัดสินให้ผลการเลือกตั้งเป็นโมฆะเพราะการเลือกตั้งไม่โปร่งใส ซึ่งหลังจากนี้เป็นหน้าที่ของทางคณะอนุญาโตตุลาการกีฬาที่จะรวบรวมหลักฐานและเรียกไต่สวนภายในช่วงสิ้นปี คาดว่าจะมีคำตัดสินในเดือนม.ค.ปีหน้า
"หลังจากนี้เราก็จะยื่นเอกสารให้กับทางศาลกีฬาโลกถึงความไม่โปร่งใสในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ที่สำคัญเป็นเอกสารที่ถูกต้อง โดยได้ว่าจ้างบริษัทเบิร์ดแอนด์เบิร์ด สำนักงานกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศอังกฤษ ที่ก่อตั้งมา 118 ปี มีประวัติว่าความเกี่ยวกับการกีฬาให้แต่ละประเทศมาอย่างโชกโชน มาว่าความคดีนี้ จึงทำให้มั่นใจว่าจะชนะแน่นอน"
"ผมขอยืนยันสิ่งที่ได้ยื่นฟ้องศาลกีฬาโลกครั้งนี้ ไม่ใช่อยากเป็นนายกสมาคมฟุตบอลฯ จนพยายามทุกวิถีทาง แต่เพื่อวงการฟุตบอลไทยที่อยากให้มีมาตรฐานและความถูกต้อง ตอนนี้ก็หมดหน้าที่ของเราแล้ว ต้องรอให้ทางศาลกีฬาโลกสืบสวนต่อไป ซึ่งขั้นตอนต่างๆ ของการสืบสวนเป็นอย่างไรผมเองก็ไม่ทราบ"
สำหรับสำนวนการฟ้องศาลกีฬาโลกครั้งนี้ ทีมงานฝ่ายกฏหมายของ "บิ๊กกร๊อง" เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ได้ยื่นฟ้อง วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ถึง 8 ข้อหา มี 6 ข้อหาตามที่ยื่นฟ้องกันในประเทศไทย แบ่งเป็นศาลแพ่ง 4 ข้อหา, ศาลปกครอง 2 ข้อหา และเพิ่มเติมอีก 2 ข้อหา คือ ฉ้อฉลหลอกลวงให้ทางฟีฟ่า (1) และเอเอฟซี (2) หลงเชื่อว่าตนเองชนะการเลือกตั้ง และได้รับรองจากกกท.และกรมการปกครองแล้ว ซึ่งหากผลตัดสินออกมาผิดจริง ตามธรรมนูญฟีฟ่าที่มีบทลงโทษด้านจริยธรรม โทษสูงสุดคือห้ามยุ่งเกี่ยวกับวงการฟุตบอลตลอดชีวิต
นอกจากนี้ การกีฬาแห่งประเทศไทย ได้แจ้งเปลี่ยนกำหนดการที่จะให้ทีมงานฝ่าย "บิ๊กกร๊อง" เข้าชี้แจงรายละเอียดต่างๆ ในการยื่นคัดค้านผลการเลือกตั้งนายกสมาคมฯ จากเดิมวันที่ 3 ธ.ค. เป็นวันจันทร์ที่ 2 ธ.ค.นี้ ในเวลา 13.00 น. เหมือนเดิม