สานต่อโอกาสทางอาชีพลูกหนัง ต้นทุนจากความรัก "ฟุตบอล" ของผู้ชายชื่อ "อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา"
ย้อนหลังไป 5 ปีที่แล้ว ใครเลยจะคิดว่า จะมีคนไทยที่ได้เป็นเจ้าของทีมฟุตบอลระดับแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
แม้แต่ผมเองในเวลานั้น ที่คลุกคลีอยู่ในวงการฟุตบอลเอง ยังฉงนในหัวใจว่า ทำไมกลุ่มธุรกิจชื่อดังอย่าง "King Power" ถึงได้ลงสนามแข่งขันในแง่ของธุรกิจทีมฟุตบอล
วันเวลาผ่านมาหลายปีผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า สิ่งที่กลุ่มนี้เดินทางไปหยิบจับธุรกิจทีมฟุตบอล มันมีอะไรที่มากกว่านั้น
จิตใจที่รักและหลงอยู่กับมนต์เสน่ห์แห่งวงการลูกหนัง มันมีอยู่ในตัวของผู้บริหารหนุ่มไฟแรงที่ชื่อ "ต๊อบ" อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา รองประธานสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ทีมชื่อดังแห่งเกาะอังกฤษ
ผมมีโอกาสได้ติดตามทำข่าวของเลสเตอร์ ซิตี้ มาโดยตลอด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมรับรู้ได้ แม้ตัวของเขาเองจะไม่เคยต้องป่าวประกาศว่า ตัวเองอยากจะทำอะไรเพื่อตอบแทนความเป็นคนไทยเลยก็ตาม
ผมกำลังจะชี้ให้เห็นถึงแนวทางการเข้ามาบริหารทีมของทางคิงส์พาวเวอร์ ว่ามันมีจุดไหนที่เด่นชัดบ้าง ที่คนไทย และนักฟุตบอลจากสยามประเทศจะได้ประโยชน์ที่ชัดเจน
ผมได้เคยนั่งฟังสิ่งที่ชายคนนี้พยายามพูดถึง การหมายมั่นตั้งใจ ที่จะลงมือทำโครงการต่างๆ ที่จะมีค่าและต่อยอดไปสู่อนาคต
ตัวอย่างความสำเร็จของโครงการ "Fox Hunt" ที่ปัจจุบัน นักเตะที่เดินทางไปฝึกฟุตบอลยังประเทศอังกฤษ ได้ผลิดอกออกผล จนมีสังกัดทั้งในไทยลีกจนครบทุกราย
นอกเหนือจากนั้นแล้ว สิ่งหนึ่งที่ตอกย้ำว่า การมาของโครงการนี้ เรามาถูกทางนั่นคือการได้การยอมรับจากโค้ชที่เป็นชาวต่างชาติ ว่าเด็กไทยไม่ธรรมดาจริงๆ
4 คน ที่ถูกไว้วางใจให้ได้ร่วมทีมโอ เอช ลูเวิน (OH Leuven) ทีมในลีกดิวิชัน 2 เบลเยียม ที่ก็เป็นทีมสโมสรล่าสุดกลุ่ม คิง พาวเวอร์ จากประเทศไทย ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของสโมสร
แต่เดียวก่อน!!
มาถึงบรรทัดนี้ อย่าเพิ่งค่อนแคะว่า โอ๊ยยยย ทีมของเขาเอง นักเตะก็ของเขาเอง มันจะไม่ได้เล่นทีมนี้ได้ไง!!!
ส่วนตัวผมเอง ผมกลับไม่คิดแบบนั้นนะครับ
เพราะอย่าลืมนะครับ ด้วยมาตรฐานที่สูง ของความเป็นมืออาชีพของทีมในลีกยุโรป มันใช่ว่าจะมามีการฝากโน่นนี่นั่นได้ซะที่ไหน
ถ้าก้นบึ้งและต้นทุนของฝีเท้า และวิสัยทัศน์ของเด็กไทย 4 คนมันไม่เจ๋งพอ ยังไงซะ ก็ไม่มีวันได้ไปร่วมทีมหรอกครับ เชื่อผมซิ
ก็เหมือนอย่างที่ "เฮียต๊อบ" เคยพูดไว้ว่า "ลีกอาชีพ มันคือความเป็นมืออาชีพ เมื่อคุณไม่เจ๋ง คุณไม่ดีพอที่เขาจะยอมรับ ยังไงก็ไม่มีมีทางได้เล่นในลีกยุโรป"
วันเวลามันหมุนเร็วเหลือเกินครับ เพราะชื่อของ อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา และคุณพ่ออย่าง วิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้ กำลังเป็นที่กล่าวขานไปทั่ว ถึงความตั้งใจจริงที่จะเข้ามาทำธุรกิจที่ไม่ใช่แค่ธุรกิจ!
ในวันที่ผมเดินทางไปชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีก เอเชีย โทรฟี่ ที่ประเทศฮ่องกง เมื่อสัปดาห์ก่อน มันก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ตรงที่ผมได้เห็นความเป็นผู้นำของเขาที่แสดงออกมาผ่านทางสายตา
"ต๊อบ" เล่าให้ฟังต่อหน้าสื่อทั้งไทยและเทศ ในเรื่องของการบริหารจัดการทีม ที่ทุกวันนี้เขาเอง ต้องพยายามทำให้ทุกคนในทีมรักกันมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ทั้งนี้การเพิ่มความสมานสามัคคีในหมู่นักเตะ มันจะทำให้องค์กรทุกองค์กร เดินทางไปถึงเป้าหมายพร้อมๆกัน
เลสเตอร์ ซิตี้ เวลานี้ แม้กำลังเผชิญมรสุมแห่งข่าวการย้ายทีมของซุปตาร์ประจำทีมอย่าง "ริยาด มาร์เรซ" ที่ถูกกระพือข่าวไปว่อนเกาะอังกฤษ แต่เขาในมุมของผู้บริหารใหญ่ของทีมกลับยังดูนิ่ง พร้อมกับต่อข้อซักถามต่างๆของสื่อได้ดีมากๆ ในเรื่องของการซื้อขายนักเตะรายนี้
ที่สำคัญ เขาไม่ยอมให้นักเตะรายนี้ดูแย่ในสยาตาของคนอื่น และแน่นอนไม่ทำให้สโมสรดูไม่ดีแม้แต่นิด ในการตอบทุกคำถาม
ความน่าสนใจอีกอย่างของเขา คือผมแอบเห็นแววตา ในเวลาที่อยู่ข้างสนาม พร้อมมองไปที่เหล่านักเตะที่กำลังซ้อม มันยิ่งทำผมมั่นใจว่า เขาอุดมไปด้วยความรักที่มีต่อฟุตบอลเป็นอย่างมาก
"อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา" ในวันนี้ กำลังเติบใหญ่ขึ้นอย่างน่าชื่นชม และน่าสนใจว่าเบื้องหน้าเขาจะเป็นแม่ทัพใหญ่นำพาทีมอย่าง "เลสเตอร์ ซิตี้" รวมถึง "โอ เอช ลูเวิน" ไปได้ดีมากน้อยขนาดไหน
แต่โปรเจ็คต่างๆ ที่กำลังทยอยออกมาเพื่อสานต่อให้เยาวชน รวมถึงคนในประเทศได้รับประโยชน์ในแง่ของฟุตบอล
มันกำลังจะเป็นเส้นทางที่เขาและบริษัทอยากตอบแทนแผ่นดิน โดยที่ไม่ต้องป่าวประกาศบอกใครเลยด้วยซ้ำ
การเข้าซื้อสโมสรฟุตบอลโอ เอช ลูเวิน ทีมในลีกระดับรองของประเทศเบลเยียม ของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ในครั้งนี้ เขาก็ย้ำชัดเจนว่า เพื่อต้องการที่จะส่งเสริมและสานฝันด้านกีฬาฟุตบอลให้กับคนไทยที่มีศักยภาพให้มีโอกาสก้าวไปเล่นฟุตบอลอาชีพในลีกยุโรป
โดยการเข้ามาร่วมเล่นในสโมสรโอ เอช ลูเวิน จะเป็นประตูสู่การสร้างโอกาสให้คนไทยสามารถพัฒนาเข้าไปสู่การเล่นในพรีเมียร์ลีกในอนาคต ซึ่งจะเป็นเวทีให้คนไทยได้แสดงพลังของคนไทยสู่สายตาชาวโลก
มาวันนี้ "อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา" เขากำลังเดินทางทำธุรกิจที่มีต้นทุนมาจากการรักฟุตบอลอย่างแท้จริง
และสุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์ มันคงไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะมันคงตกอยู่ที่เยาวชนไทย ที่จะได้รับโอกาสในอนาคตแห่งเส้นทางสายลูกหนังแบบมืออาชีพเต็มขั้นนั่นเอง