ญี่ปุ่น กับความฝันที่เคยเพ้อเจ้อ!

ญี่ปุ่น กับความฝันที่เคยเพ้อเจ้อ!

ญี่ปุ่น กับความฝันที่เคยเพ้อเจ้อ!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

บางทีความเพ้อเจ้อของคนบางคน อาจไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อที่แท้จริงเสมอไปนะครับ

นับย้อนถอยหลังกลับไปเมื่อ 44 ปีที่แล้ว ในมหกรรมการแข่งขัน โอลิมปิก ณ กรุง เม็กซิโก ซิตี้ เมื่อปี 1968 นั่นคือครั้งแรกที่ขุนพลลูกหนัง "ซามูไร" ทีมชาติญี่ปุ่น จัดการหักด่านทะลุเข้าไปได้ไกลถึงรอบรองชนะเลิศ

วันเวลาผันแปร จากความสำเร็จเล็กๆ เมื่อครั้งยืนอยู่บนผืนแผ่นดินที่แสนจะร้อนตับแตก....ถึงตอนนี้ ทีมฟุตบอลอันเลื่องชื่อของแดน "อาทิตย์อุทัย" ได้จัดการผ่านเข้ามาถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายอีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางสภาพอากาศ 3 ฤดูต่อ 1 วัน ใน ลอนดอนเกมส์ 2012

เป็นอันชัดเจนแจ่มแจ้งว่า "อากาศ" ไม่ใช่สสารที่จะสามารถทำอันตรายใดๆ ให้กับคุณภาพฟุตบอลของ "ผองชนชาวยุ่น" ได้ ณ เวลานี้

สถิติระบุเป็นหลักฐานทิ่มแทงตาเราว่าตลอดเส้นทาง 4 นัดที่ผ่านมา ญี่ปุ่น ยังคงรักษาความบริสุทธิ์ไว้ได้ประหนึ่งสาวสวยวัยขบเผาะ โดยไม่ถูกเจาะตาข่ายเลยแม้แต่ลูกเดียว พวกเขารูดม่านเปิดฉากได้อย่างมีสไตล์ด้วยการพลิกเชือด สเปน 1-0 ชนิดหักปากกาเซียนของคนทั้งโลก

ต่อด้วยการเชือด โมร็อกโก สกอร์เดียวกัน และปิดท้ายรอบแบ่งกลุ่มด้วยการเจ๊า ฮอนดูรัส 0-0 ก่อนที่ล่าสุด จะจัดการไล่ถล่มทัพ "ไอยคุปต์" อียิปต์ 3-0 เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา

ด้วยย่างก้าวที่หนักแน่นแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทากาชิ เซคิซูกะ กุนซือทัพ "ซามูไร" จะเป็นปลื้มกับผลงานของลูกทีมตัวเองขนาดไหน เช่นเดียวกับ มายะ โยชิดะ ปราการหลังกัปตันทีม "ปลาดิบ" ชุดปัจจุบัน ที่คงยิ้มหวานบานไม่หุบ ภายหลังจากที่ก่อนหน้านี้ เคยเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติชุดลุย ปักกิ่งเกมส์ เมื่อ 4 ปีก่อน ที่ทำสถิติงามไส้ แพ้รวดมันทุกนัดในรอบแบ่งกลุ่ม!

อนึ่ง...ญี่ปุ่น ชุดนั้น นอกจากในรายของ โยชิดะ แล้ว ยังประกอบไปด้วยผู้เล่นระดับนาม "อุโฆษ" อย่าง เคสุเกะ ฮอนดะ, อัตซูโตะ อูชิดะ, ชินจิ คากาวะ, ชินจิ โอคาซากิ, ยูโตะ นากาโตโมะ และทาคายูกิ โมริโมโตะ แต่กลับได้บทสรุปเป็นการยิงได้จุ๋มจิ๋มเพียงแค่ 1 ประตู

หลังจากที่อกหักชอกช้ำใน โอลิมปิก มา...ญี่ปุ่น ปฏิเสธที่จะฟูมฟายอยู่กับความผิดหวัง พวกเขาเริ่มต้นฟอร์มทีมขึ้นใหม่โดยใช้นักเตะที่มีอายุน้อยกว่าทีมอื่นลงเล่นในทัวร์นาเมนต์ระดับเยาวชนต่างๆ ก่อนที่ในอีก 2 ปีถัดมา จะจัดการส่งทีมชุด ยู 21 ปี ลงเล่นใน เอเชียนเกมส์ ที่ กว่างโจว

ผลปรากฏก็คือ ญี่ปุ่น ชุดนั้นไม่ได้ทำตัวเป็นเด็กอมมือที่จะยอมให้แข้งรุ่นพี่ชาติอื่นมาไล่ตบกันได้ง่ายๆ แถมเหตุการณ์ยังเป็นไปในทางตรงกันข้ามซะงั้น...เมื่อพวกเขาดันแปรสภาพกลายเป็นเด็กห้าวปีนเกลียว รังแกผู้ใหญ่ลากยาวจนถึงนัดชิง ก่อนที่จะคว้าแชมป์ไปครองได้ในบั้นปลายอย่างยอดเยี่ยม

เหตุการณ์ที่ตามมาหลังจากนั้นก็คือ นักเตะหลายๆ คนของชุด เอเชียนเกม ที่ว่านี้...ได้ปักหลักอยู่ยาว และกลายมาเป็นแข้งกำลังสำคัญของทัพ "ซามูไรบลูส์" ชุด โอลิมปิก 2012 และแน่นอนครับว่าตรรกกะที่ว่า...ยังน่าจะลากยาวไปถึงการเตรียมทีมเพื่อใช้ลุยศึกเวิลด์คัพ 2014 ที่ บราซิล ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

ญี่ปุ่น ชุดนี้ไม่ได้เรียกตัวนักเตะจากสโมสร 5 อันดับแรกในตารางเจลีก มาติดทีมเลย โดยส่วนใหญ่ถูกดึงมาจากทีมระดับกลางรวมกับกลุ่มนักเตะที่เล่นในยุโรปเพียงบางคนเท่านั้น ขณะที่นักเตะที่ได้รับการคาดหวังว่าจะถูกเรียกติดทัพแน่ๆ ก่อนเริ่มทัวร์นาเมนท์อย่าง เรียว มิยาอิชิ, ชินจิ โอคาซากิ หรือ โยชิอากิ ทาคางิ ต่างก็หลุดโผไปทั้งหมด

ทัพลูกหนังแดน "อาทิตย์อุทัย" กำลังจะทำให้เรื่องที่ดูเพ้อเจ้อหลายๆ อย่างกลายเป็นจริง ทุกวันนี้การดู ญี่ปุ่น เล่นฟุตบอลในการแข่งขันทัวร์นาเมนท์ต่างๆ กลับกลายเป็นสิ่งที่เพลิดเพลินตา เพราะถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ต่อบอลพลิ้วไหวเหมือน สเปน หรือมีชั้นเชิงที่เหนือเมฆอย่าง บราซิล แต่ถึงกระนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกทดแทนด้วยระเบียบวินัย และหัวจิตหัวใจแห่งความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้จนกกว่าจะสิ้นเสียงนกหวีด

อันที่จริง มันเหมือนกับว่าพวกเขาไม่ใช่ชาติลูกหนังจากเอเชียด้วยซ้ำ!

โยชิ ทาคาฮาชิ เริ่มต้นเนรมิตขีดเขียนเรื่องราวของ กัปตันซึบาสะ มาตั้งแต่ช่วงต้นยุค 80...และการ์ตูนเรื่องนั้นก็ได้ส่งต่อแรงบันดาลใจมาถึงเยาวชนหลายต่อหลายเจเนอเรชั่นหลังจากนั้น และผมหมายถึงผู้คนทั่วทุกมุมโลกจริงๆ นะครับ

คริสเตียน วิเอรี่, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่, ซีเนดีน ซีดาน, ลิโอเนล เมสซี่, อเลกซิซ ซานเชซ, จูเซ็ปเป้ สคูลี่, ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ และเหล่านักเตะแข้งทองท่านอื่นๆ อีกมากมาย ต่างได้แรงบันดาลใจมาจากเด็กหนุ่มอุปโลกที่ชื่อ โอโซระ ซึบาสะ กันทั้งนั้น

ว่ากันว่า เฟร์นานโด ตอร์เรส ใช้เวลาในวัยเด็ก พยายามฝึกยิงลูกไดร์ฟชู้ต ทั้งวี่ทั้งวัน และมันได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นสุดยอดกองหน้าชื่อก้องโลกได้เฉกเช่นทุกวันนี้!

ไม่มีใครปฏิเสธนะครับว่าเราทุกคนต่างรักเรื่องราว กัปตันซึบาสะ, เราทุกคนเอนจอยกับเนื้อหาความเข้มข้นของมัน แต่คงไม่ใช่เราทุกคนอย่างแน่นอน...ที่เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวจะเกิดขึ้นจริงในวงการฟุตบอล "ปลาดิบ"

จากการ์ตูนที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นแรงบัลดาลใจให้กับทัพซามูไรเตรียมเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่

พวกเราหลายคนต่างก็เคยคิดว่านี่เป็นเรื่องราวของความเพ้อเจ้อ, การ์ตูนก็คือการ์ตูน และถ้าหากมันถูกทำเป็นหนัง มันก็คงเป็นเพียงภาพยนตร์เกรด B- ราคาถูก ที่ดูจะขาดน้ำหนักข้อมูลของความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง

แต่วันนี้ เวลาผ่านล่วงเลยมาเฉียด 30 ปี เรื่องราวที่พวกเราเคยคิดว่ามันเพ้อเจ้อนักหนา ได้กลับกลายเป็นความจริงไปบ้างแล้ว พวกเขาได้แชมป์ทวีป, ได้ไปเล่นในฟุตบอลโลก, พวกเขามี เจลีก, มีนักเตะไปผจญภัยในลีกชั้นนำของยุโรป

ขณะที่อีกหลายๆ เรื่องก็ทำท่าว่าจะมีโอกาสเป็นความจริงในอีกไม่ช้า ใครจะไปเชื่อล่ะครับว่า ญี่ปุ่น อาจได้ทะลุไปเข้าชิงกับราชาแห่งศาสตร์ฟุตบอลอย่าง บราซิล ใน โอลิมปิก เหมือนดั่งในการ์ตูนเป๊ะ!

ญี่ปุ่น เป็นเหมือนชาติที่ถูกสาปและถูกกลั่นแกล้งจากโชคชะตามาโดยตลอดนะครับ เพราะในแต่ละความสำเร็จแต่ละครั้งที่พวกเขาพยายามจะทำ มันมักจะต้องมีอุปสรรคระดับมหึมาขวางกั้นพวกเขาไว้อยู่เสมอ พวกเขาต้องใช้เวลาหลายสิบปี เสริมแคลเซียมกระดูก ปลูกฝังหลักโภชนาการ เพื่อเปลี่ยนประชาชนรูปร่างแคระแกร็นภายในประเทศให้มีร่างกายที่สูงใหญ่,

พวกเขาเคยสร้างชาติขึ้นมาเสียดิบดี ก่อนที่จะถูกถล่มให้พังพินาศยับหลังจบสงครามโลก เช่นเดียวกับมหันตภัยทสึนามิ ที่ทำให้เศรษกิจของพวกเขาต้องถดถอยลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่ไม่ว่าจะต้องผจญกับเรื่องราวที่เลวร้ายแค่ไหน ญี่ปุ่น ก็ผ่านพ้นเรื่องราวทุกอย่างด้วยดีมาตลอด โดยมีจิตวิญญาณอันกล้าแกร่ง และความไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา เป็นเข็มทิศชี้นำทางให้พวกเขาเดินทางกลับสู่แสงสว่าง

บางทีมันคงไม่สำคัญว่า ญี่ปุ่น จะไปได้จนถึงสุดทางหรือไม่ใน โอลิมปิก 2012 ครั้งนี้......เพราะบางทีคำตอบที่ชัดเจนแจ่มแจ้งก็คือ ญี่ปุ่น จะขีดเขียนเรื่องราวของตัวเอง เลือกนับถอยหลังไปประสบความสำเร็จปิดฉากตัวเองให้สวยหรูเหมือนในหนังสือการ์ตูนวันไหนดีต่างหาก

จนกว่าจะถึงเวลาการขีดเขียนเรื่องราวเดินทางครั้งใหม่ของ ซึบาสะ.....

เรื่องโดย "ยอดขวัญ"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook