Red between the line

Red between the line

Red between the line
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ในห้วงกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา ผมเชื่อจริงๆ นะครับว่าแฟนบอล ลิเวอร์พูล น่าจะเป็น 1 ในกลุ่มแฟนที่มีความสุขที่โลก ณ เวลานี้
แม้ในระหว่างเส้นทางจะมีพลาดท่าพ่าย อาร์เซน่อล ไปบ้าง 1-2 ในศึก เอฟเอ คัพ แต่ถึงกระนั้น มันก็เป็นเพียงเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่สาวก "เดอะ ค็อป" ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจหรือคิดให้ปวดหัวอะไรมากมาย
 
 
แม้จะแพ้แต่รูปเกมไม่ได้เป็นรองอาร์เซน่อล ยืดอกกันได้เดอะ ค็อป เอ๋ย
 
สำหรับผมแล้ว มันไม่ใช่เพราะว่าไม่ผิดหวัง แต่มันเป็นการแพ้ในแบบที่เรารับได้มากกว่า....เพราะนอกเหนือจากประเด็นที่ ว่าเราแพ้ให้กับทีมใหญ่ เราคงต้องไม่ลืมใช้คำว่าอันที่จริงแล้ว ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นว่าสู้ได้ดี เป็นการถูกโค่นที่พยายามสู้เต็มที่จริงๆ
 
25 เกมหลังสุดรวมทุกรายการ ลิเวอร์พูล ประสบกับความปราชัยไป 5 ครั้ง ซึ่งเกิดขึ้นจากการแพ้ทีมในกลุ่มลุ้นแชมป์ไปถึง 4 โดยมีเพียงแค่นัดเจอ ฮัลล์ ซิตี้ ทีมเดียว ที่ "หงส์แดง" ถูกเด็ดปีกแบบพลิกล็อค
 
ทั้งหมดคือเกมนอกบ้านล้วนๆ
 
มันเป็นฤดูกาลที่ "เร้ด แมชชีน" ตบทีมที่ต่ำชั้นกว่าได้เกือบตลอด และถึงแม้การแพ้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับทีมในกลุ่มบิ๊กโฟร์ แต่ถึงกระนั้น ลิเวอร์พูล ก็ยังมีชอตไฮไลท์สร้างความประทับใจด้วยการเชือด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 ช่วงต้นฤดูกาล และเกมไล่ถล่ม อาร์เซน่อล 5-1 ช่วงต้นเดือน ก.พ.
 
อีก 1 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมแข็งแกร่งขึ้นมากก็คือสถิติการเฝ้าถิ่นในเกมลีก 14 นัด ที่ แอนฟิลด์......ลิเวอร์พูล กวาดชัยไปถึง 12 เสมอ 1 และแพ้เพียงแค่นัดเดียวต่อ เซาธ์แฮมป์ตัน
 
 
ถ้าไม่มีกุนมาขั้นกลาง อันดับดาวซัลโว 1-2 น่าจะเป็นของลิเวอร์พูล
 
กองหลังไม่ดี แต่แนวรุกฉกาจฉกรรจ์ , คู่หู SAS แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว , สปิริตนักเตะดี และ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ก็เป็นคนที่ใช้ได้......คำถามก็คือ ถึงตอนนี้ ลิเวอร์พูล ดีพอที่จะพาตัวเองติดอยู่ในกลุ่มลุ้นแชมป์ไปจนถึงช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล จริงๆ หรือไม่ ?
 
หลายๆ คนคงได้มีโอกาสอ่านบทความที่เกี่ยวข้องกับสถานะการลุ้นแชมป์ของ ลิเวอร์พูล ไปบ้างแล้วพอสมควร ไม่ว่าจะจากแฟน "หงส์" เอง หรือผู้ให้การสนับสนุนทีมอื่นๆ 
 
เหตุผลต่างๆ นาๆ ถูกยกขึ้นมา บ้างก็เรื่องของการถล่มประตูของ หลุยส์ ซัวเรซ, จังหวะพลาดโง่ๆ ของ ตูเร่ , โปรแกรมที่ได้เปรียบของ หงส์ , ประสบการณ์อันอ่อนด้อยในการลุ้นแชมป์, ทฤษฏีที่ว่าถึงยุคเปลี่ยนผ่านของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และอื่นๆ อีก บลา บลา บลา
 
มองได้ทั้งในแง่ดีและแง่ร้าย
 
กับเกมการแข่งขันที่เหลืออีกเพียง 11 นัด ผมเชื่อจริงๆ ว่า ลิเวอร์พูล ได้เปรียบในเรื่องของโปรแกรมการแข่งขัน....เพราถึงตรงนี้พวกเขาเหลือเพียง สิ่งเดียวให้ต้องมุ่งมั่น ต่างกับคู่แข่งลุ้นแชมป์รายอื่นๆ ที่ยังมีโปรแกรมลงสนามกันให้ควั่ก หลายๆ คนเริ่มพูดถึงเกมบิ๊กแมตช์ในช่วงโค้งสุดท้ายของ "หงส์แดง" ที่มีแมตช์สำคัญหลักๆ รอพวกเขาอยู่ราวๆ 3 เกม     
 
 
โปรแกรมที่ต้องเจอใน 2 เดือนในการโกยคะแนนเพื่อลุ้นแชมป์
 
บุกเยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด, และอีก 2 เกมที่จะเปิดบ้านพบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี หลายๆ คนเชื่อว่ามันอาจคือเกมตัดสินแชมป์ปีนี้
 
ผมเริ่มเชียร์ ลิเวอร์พูล ในยุคแข้ง สไปซ์บอย อันลือลั่นในช่วงกลางยุคทศวรรษที่ 90 ผมมีโอกาสเห็น "หงส์แดง" ได้ลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก แบบเป็นจริงเป็นจังแค่ 2 ครั้ง.....1 จาก รอย อีแวนส์ และ 2 จาก ราฟาเอล เบนิเตซ
 
ทั้ง 2 ครั้งที่ ลิเวอร์พูล ล้มเหลว เกิดขึ้นจากการแพ้ภัยตัวเอง! ไม่ใช่ถูกทีมใหญ่ด้วยกันปราบ
 
ฉะนั้น ทฤษฏีหยาบๆ ที่ผมมโนเองในตอนนี้ ผมจึงไม่ได้มองเกม บิ๊กแมตช์ เป็นหลัก หากแต่ผมมองช่องว่างระหว่างบรรทัดที่เหลืออยู่มากกว่า
 
ผมกำลังพูดถึงเกมเยือน 6 นัด ที่ทีมดังแห่งลุ่มแม่น้ำ เมอร์ซี่ จะต้องพบกับ เซาธ์แฮมป์ตัน , แมนฯ ยู , คาร์ดิฟฟ์ , เวสต์แฮม , นอริช และ คริสตัล พาเลซ 
 
ลิเวอร์พูล มีสถิติการบุกไปเยือนคู่แข่งที่ไม่ค่อยจะน่าพิศมัยเท่าไหร่นัก ซึ่งถือเป็นปัญหาที่ "บี-ร็อด" พยายามแก้มาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยถึงแม้ฤดูกาลนี้จะมีแนวโน้มที่กระเตื้องขึ้น แต่มันก็ยังไม่ทำให้ "เดอะ ค็อป" หน้าไหนรู้สึกอุ่นใจอยู่ดี
 
 
การเจอกับคู่รักคู่แค้นตลอดกาลอย่างแมนฯ ยูไนเต็ด ตอนนี้ไม่ได้ดูผิดแต่ดูถูกเลยว่า สบาย
 
กับการพิจารณาคร่าวๆ ของผมแบบวัยรุ่นใจร้อน ผมเชื่อเหลือเกินว่าเกมเยือน 3 นัดซ้อนของ ลิเวอร์พูล ต่อจากนี้ (พบ นักบุญ , แมนฯ ยู , คาร์ดิฟฟ์) จะเป็นปัจจัยสำคัญที่บ่งชี้ถึงสภาพหัวจิตหัวใจของทัพ "หงส์แดง" ชุดนี้ ว่าพวกเขาพร้อมหรือไม่ที่จะถูกเปิดทางให้ได้ไปต่อ   
 
หากเมื่อถึงตอนนั้น.....ในช่วง 5 นัดสุดท้ายของฤดูกาล เราทุกคนก็คงจะได้เห็นกันว่าเกมในบ้านของ ลิเวอร์พูล ที่ว่าเก่งนักเก่งหนา จะเป็นของจริงมากน้อยขนาดไหนเมื่อต้องต้อนรับการมาเยือนของโคตรทีมรวมดาวสห ประชาชาติอย่าง "เรือใบ" และ กึ๋นของ โชเซ่ มูรินโญ่ แห่งทัพ "สิงโตน้ำเงินคราม"
 
หากเมื่อวันนั้นจะมาถึง +++

 
"ยอดขวัญ"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook