ถึงเวลาเปลี่ยนความคิด ได้เวลาปฏิรูปทีมชาติไทย

ถึงเวลาเปลี่ยนความคิด ได้เวลาปฏิรูปทีมชาติไทย

ถึงเวลาเปลี่ยนความคิด ได้เวลาปฏิรูปทีมชาติไทย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ฟุตบอล : หลังเสียงนกหวีดยาวดังขึ้นที่สนามราชมังคลากีฬา เมื่อวันพุธที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมาก็เกิดคำถามในใจขึ้นกับตัวผมเองว่าทีมฟุตบอลทีมชาติไทยของเรา ถึงเวลาหรือยังที่ต้องปฏิรูปและจัดการใหม่เสียที

ทีมชาติไทยลงสนามเกมสุดท้ายของรอบคัดเลือกเอเชี่ยน คัพ 2015 ด้วยความพ่ายแพ้ต่อเลบานอน 2-5 ซึ่งตกรอบไปแบบไม่มีคะแนนแม้แต่คะแนนเดียว ถือเป็นผลงานที่ตกต่ำที่สุดตั้งแต่ผมดูฟุตบอลไทยมา

ย้อนกลับไปเมื่อ 2-3 ปีก่อน กระแสฟุตบอลทีมชาติไทยดูจะกลับมาคึกคักและมีความหวังอีกครั้ง หลังได้ "วินนี่" วินฟรีด เชเฟอร์ โค้ชชาวเยอรมันเข้ามาเป็นกุนซือใหญ่ ซึ่งประเดิมผลงานด้วยการพาทีมเข้าไปเล่นในศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก รอบ 20 ทีมสุดท้าย โดยเกมแรกผมยังจำได้ที่ไทยบุกไปแพ้ออสเตรเลีย 1-2

แต่เป็นความพ่ายแพ้ที่แฟนบอลไทยประทับใจ และไม่เสียใจที่เราแพ้กลับมา เนื่องจากเกมนั้นถือเป็นเกมหนึ่งที่ทีมชาติไทยเล่นกันได้ยอดเยี่ยมเสมือนเป็นทีมระดับโลก ผมไม่ได้พูดโอเวอร์ หากใครได้ดูเกมนี้ก็คงจะเข้าใจและรู้สึกเหมือนผม 


ต่อมาเกมที่ 2 เรากลับมาเปิดบ้านถล่มโอมานถึง 3-0 เรียกได้ว่าตอนนั้นกระแสทีมชาติไทยบูมสุดๆ แต่หลังจากนั้นกระแสก็เริ่มจางไป จางไป จนเงียบหายไปเมื่อเราตกรอบ แต่กระแสนั้นก็กลับมาอีกครั้งในศึกฟุตบอลซูซูกิคัพ ครั้งก่อน ที่เราได้ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับสิงคโปร์

แต่สุดท้ายก็ได้แค่รองแชมป์ และนั่นถือเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับทีมชาติไทย เมื่อเกิดปัญหาภายในทีมมากมาย จนลามมาถึงการแข่งขันฟุตบอลเอเชี่ยน คัพ 2015 รอบคัดเลือกที่ผ่านมา 3 เกมแรกโค้ชยังเป็นคนเดิมที่เคยทำให้ไทยสู้กับออสซี่ได้อย่างสนุก แต่กลับกันมาในทัวร์นาเม้นท์นี้ เราแพ้รวด 3 นัด เรียกได้ว่าตกรอบตั้งแต่ตอนนั้น

ถ้าจำไม่ผิดมีเพียงเกมแรกเกมเดียวเท่านั้นที่เราได้ใช้ทีมชุดใหญ่ลงเตะกับคูเวต หลังจากนั้นก็เกิดปัญหานักเตะถอนตัว ไม่อยากเล่นทีมชาติ จนต้องไปเอาเด็กมาเล่น และก็แพ้เลบานอนเละ 5-2 เกมแรก อีก 2 เกมต่อมาใช้ "โค้ชง้วน" สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ เข้ามาทำ นักเตะที่กุนซือชัยนาทเรียกมาส่วนใหญ่ก็มาจากรั้วเขาพลอง สเตเดี้ยม ซึ่งก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายถึงการเรียกตัวครั้งนั้น ซึ่งผมเพิ่งมาเข้าใจในวันนี้ แต่เดี่ยวจะบอกทีหลัง


และมาในเกมสุดท้ายวานนี้ (5 มี.ค.) กับเลบานอน อีกครั้ง ซึ่งเราก็เปลี่ยนมาใช้บริการ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ฮีโร่ผู้พาทีมชาติไทยคว้าแชมป์ซีเกมส์ ทุกคนต่างมีความมั่นใจว่าเกมนี้แหล่ะไทยจะมีแต้ม หลังแพ้มา 5 นัดรวด แต่การเตรียมทีมก็เข้าอีหรอบเดิมคือนักเตะตัวหลักพาเหรดถอนตัวกันไปเกือบครึ่ง ตัวที่เรียกมาบางคนก็ไม่โดนใจวัยโจ๋ สุดท้ายก็อย่างที่เห็น

ก่อนแข่งนักเตะบอกว่าอยากได้กำลังใจจากแฟนบอล แต่ผมเองในฐานะแฟนบอลพอเห็นผลงานของทีมชาติไทยแล้ว ก็เบื่อและเซ็งเหมือนกันนะครับ ที่มันไม่มีอะไรดีขึ้นมา ทีมชาติไทยเหมือนเตะไปงั้นๆ มีโปรแกรมให้เตะก็เตะ ไม่มีก็ไม่เตะ นักเตะอยากเล่นก็เล่น ใครไม่อยากเล่นก็ถอน 

ทุกวันนี้บอกตามตรงว่าทีมชาติไทยของเรากำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤตอย่างแท้จริง ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็วิกฤตมานานแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมว่าเข้าขั้นหนักแล้วละครับ ถึงเวลาแล้วที่เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของทีมชาติไทย ผมไม่ได้หมายความถึงการเปลี่ยนโค้ช เปลี่ยนนายกสมาคมฯ หรือเปลี่ยนนักเตะอะไร แต่ผมหมายถึงเปลี่ยนวิธีคิดให้ทุกคนหันมาให้ความสำคัญกับทีมชาติกันมากกว่านี้


ตอนนี้ถ้าพูดถึงนักเตะใจก็คงอยู่กับสโมสรที่ให้เงินเยอะกว่า มาเล่นทีมชาติมีแต่โดนด่าไม่ได้ตังค์ไม่รู้จะมาทำไม แต่ก็มีบางคนที่พร้อมจะรับใช้ชาติและเต็มที่ทุกครั้งเมื่อชาติต้องการ อันนี้ก็ขอชื่นชม แต่ก็มีนักเตะหลายคนซึ่งผมคงไม่ขอเอ่ยชื่อ ที่มีชื่อติดทีมชาติทุกชุด แต่พอถึงเวลาก็ถอน ถอน และก็ถอน เหตุผลเดียวก็คือเจ็บ แต่เหตุผลจริงๆ แล้วมันคืออะไร ถ้าคุณไม่อยากเล่นทีมชาติก็ประกาศไปเลยว่าผมไม่เล่นทีมชาติ คราวหลังโค้ชจะได้ไม่ต้องเรียกอีก

มีนักเตะอีกหลายคนที่เขาอยากติดทีมชาติ แต่ไม่มีโอกาส และมีนักเตะอีกหลายคนที่ต้องเป็นเบอร์สองรอพวกคุณถอนตัวถึงจะได้ติดทีมชาติ ลองคิดถึงความรู้สึกที่ต้องไปในฐานะตัวสำรองของคนที่ถอนตัวบ้างว่าจะรู้สึกอย่างไร โอเคดีใจที่ติดทีมชาติ แต่ถ้าไอ้นั่นไม่ถอนเราก็คงไม่ติดอย่างนั้นเหรอ

นี่คือเหตุผลของ "โค้ชง้วน" ที่ว่าทำไมตอนเป็นกุนซือทีมชาติไทยถึงเรียกเด็กของตัวเองในทีมชัยนาทมาเกือบทั้งทีม เพราะยังไงแล้วเด็กพวกนี้ก็ไม่ถอนอยู่แล้ว เพราะโค้ชเรียกมาเอง อีกอย่างนักเตะพวกนี้ก็เล่นด้วยกันมาเป็นปี เรื่องของความเข้าขารู้ใจจึงไม่ต้องปรับอะไรมากแม้จะมีเวลาซ้อมเพียงวันสองวันเท่านั้น


สำคัญก็คือวิธีคิดและการให้ความสำคัญ หากทุกคนเปลี่ยนความคิดว่าทุกวันนี้ที่อยู่ในวงการฟุตบอล ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ระดับผู้บริหารสมาคมฯ เจ้าของสโมสร ตัวสโมสรเอง สตาฟฟ์โค้ช นักเตะ ทุกคนทำงานในสโมสรในองค์กรของตัวเองเพื่ออะไร ถ้าทุกคนทำเพื่อที่จะพัฒนาวงการฟุตบอลไทย พัฒนาทีมชาติไทย ป่านนี้ทีมชาติของเราก็คงไม่ตกต่ำอย่างทุกวันนี้ แต่ทุกคนก็ทำเพื่อประโยชน์ของตัวเองก่อน ส่วนทีมชาติก็ผักชีโรยหน้าไป มันก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จ และลืมไปได้เลยกับคำว่าจะไปบอลโลก

ผมนึกคำในหนังเรื่อง "หมากเตะรีเทิร์น" ขึ้นมาได้คำหนึ่งว่า "ไปเฮ็ดหยังบานโลก" แปลว่า ไปทำอะไรบอลโลก นั่นนะสิเราจะไปทำไมบอลโลก ในเมื่อทุกคนไม่ได้สนใจและให้ความสำคัญกับทีมชาติไทยเลย เมื่อไหร่ที่ทุกคนเปลี่ยนวิธีคิดและกลับมามองถึงทีมชาติไทยด้วยความสำคัญอันดับหนึ่งแล้วนั้น นั่นแหล่ะคุณจะได้คำตอบว่า "ไปเฮ็ดหยังบานโลก"   

ชิชาริเต่า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook