ฟุตบอล :ทัพสิงโต:ส่วนผสมที่เริ่มจะกลมกล่อม
ฟุตบอล : อังกฤษ ถล่มซาน มาริโน 5-0 เมื่อศุกร์ที่ผ่านมา ให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับแมตช์ถล่ม มอลโดวาด้วยสกอร์เดียวกันเดือนก่อน
เกมแบบนี้วัดอะไรไม่ได้เลยครับ และไม่ต่างอะไรกับ "แมตช์โชว์" หรือยิ่งกว่าเกมกระชับมิตรด้วยซ้ำในความรู้สึกของผม และของผู้เล่นซาน มาริโน
นักเตะชุดนี้ของผู้มาเยือนมีครบครับทั้งพนักงานเฟอร์นิเจอร์, เจ้าของบาร์, นักศึกษาบัญชี, เจ้าของร้านโคมไฟ, พนักงานธนาคาร ฯลฯ โดยผมเคยอ่านข่าวเจอประเด็นว่า นักเตะซาน มาริโน คิดว่า "แพ้แน่นอน" ตั้งแต่ยังไม่ได้เล่น และหวังแค่ "เอนจอย" ประสบการณ์ในเวมบลีย์เท่านั้น
สไตล์การรับ 11 คนในแดนตัวเอง และจบแมตช์ด้วยการครองบอลไม่ถึง 20% และแพ้น้อยกว่าแมตช์ก่อนที่โดนมอนเตเนโกร ถลุง 6-0 แถมยังยันอังกฤษได้เลยครึ่งชั่วโมงแรก น่าจะเป็นความสำเร็จระดับหนึ่ง
ขอเพียง "ขโมย" ได้สักประตู และทำให้อังกฤษไม่ได้ "คลีนชีต" ผมเชื่อว่า ทีมอันดับ 207 ของโลกคงได้ฉลองราวบุกมาชนะแน่นอน
ขณะที่ทีมชาติสิงโตคำราม ลงสนามด้วย "ไลน์อัพ" แบบมีเกมแพลนเพื่อแมตช์ปะทะโปแลนด์ และเพื่ออนาคตใน "บอลโลก 2014" รอบสุดท้ายอย่างแท้จริง
รอย ฮอดจ์สัน ปรับทัพถึง 6 คน จากแมตช์เสมอยูเครน 1-1 โดยไม่เสี่ยงส่งนักเตะมีใบเหลืองตกค้างลงสนาม และไม่มี แอชลี่ย์ โคล ลงเตะนัดที่ 99 ของตัวเอง เพราะเจ็บข้อเท้าเล็กน้อย
ฮาร์ท, วอล์คเกอร์, เคฮิลล์, จากีลก้า, เบนส์, คาร์ริค, เคลฟเวอร์ลี่ย์, วัลค็อตต์, อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, รูนี่ย์ และ เวลเบ็ค
โดยแน่นอนครับว่า การแต่งตั้งรูนี่ย์เป็นกัปตันทีมในนัดนี้ คือ "ไฮไลต์" ก่อนเกม และในแมตช์แข่งขันรูนี่ย์ก็ทำได้ดีด้วยการยิง 2 ประตูจนสถิติการทำประตูในทีมชาติทะลุเป็น 31 ประตูแซงขึ้นอันดับ 5 ในแท่นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลจากการเล่น 77 นัด
ในครึ่งแรก และครึ่งหลังที่รูนี่ย์ยิงได้ เวลเบ็คจะยิงตามอีกเม็ดทันที ขณะที่ประตูที่ 5 ปิดท้ายก็น่าสนใจเพราะ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ทำประตูแรกในนามทีมชาติได้สำเร็จหลังจากคุณพ่อ มาร์ค เคยทำได้เหมือนกันเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว
เมื่อรวมกับ จอนโจ้ เชลวี่ย์ กองกลางพันธุ์ดุ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ที่ได้ประเดิมสนามนัดแรกในฐานะตัวสำรองแทนคาร์ริคในครึ่งหลัง เราจึงได้เห็นความพยายามในการลดค่าเฉลี่ยอายุนักเตะผู้ดีของฮอดจ์สัน
ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ ผมเคยเขียนบ่อยครับว่า นักเตะเก๋าๆ พวก 30 อัพของทีมชุดนี้นำโดย เจอร์ราร์ด, แลมพาร์ด ฯลฯ ผ่านสมรภูมิรอบสุดท้ายทั้งบอลโลก และยูโร มามากแล้ว
แต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จดีกว่ารอบ 8 ทีมสุดท้ายใน "ช่วงพีก" ดังนั้นตอนนี้ที่ไม่ใช่ช่วงที่ดีที่สุด ทว่ามีประสบการณ์ ฮอดจ์สันน่าจะมี "เกมแพลน" ที่ถูกต้องแล้วครับ
ทำแบบนี้เค้าเรียกว่า Nurture หรือให้การดูแล และโอกาสพัฒนาผู้เล่นรุ่นใหม่ขึ้นมา และทำให้เห็นเลยว่า อย่างน้อยๆ มันมีความ "น่าตื่นเต้น" เกิดขึ้นแล้วในทีมชุดนี้
ครับ "แกนหลัก" อย่างรูนี่ย์ก็มีข่าว มีประเด็น การจะเป็นรุ่นพี่ที่ดี และจะดูแลรุ่นน้องที่ก้าวเข้ามาติดทีมชาติ ขณะที่นักเตะรุ่นใหม่ก็จะนำ "ความสด" ความกระหาย กระตือรือร้น ที่อาจจะขาดหายไปในทีมชุดนี้ หรือหายไปจากตัวรุ่นพี่ๆ ที่เริ่มจะ "คุ้นเคย" กับสภาวะการรวมตัวทีมชาติ
ดังนั้น เมื่อรวมกับการสร้าง เซนต์ จอร์จส ปาร์ค เสร็จสมบูรณ์พอดี ทีมชาติอังกฤษจึงน่าจะเข้าสู่ยุคใหม่ได้เต็มรูปแบบ
ในนัดหน้าวันอังคารกับโปแลนด์ นักเตะรุ่นเดอะอย่าง เกล็น จอห์นสัน, แอชลี่ย์ โคล, เจอร์ราร์ด, มิลเนอร์, เดโฟ น่าจะถูกเรียกกลับมาเป็น "ตัวจริง" อีกครั้งในแมตช์สำคัญมากที่สุดเกมหนึ่ง เฉพาะอย่างยิ่งในยามที่คู่แข่งอย่าง ยูเครนดันพลาดทำได้แค่บุกไปเสมอ มอลโดวา 0-0
นักเตะโปลนำโดยหอกคนสำคัญจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ อย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ก็ทำผลงานช่วยอังกฤษไว้ 1 เกมแล้วด้วยการบุกไปเสมอมอนเตเนโกร 2-2
สถานการณ์ในกลุ่มนี้กับทีมเต็ง มอนเตเนโกร, โปแลนด์ หรือยูเครน จึงดู "งูกินหาง" กันประมาณหนึ่ง และทำให้อังกฤษไม่ต้องถึงกับบุกชนะทีมเหล่านี้นอกบ้านก็ได้
แต่อย่างน้อยต้องไม่แพ้ และมาลุ้นเก็บชัยในนิว เวมบลีย์ ซึ่งผมมองว่า "ไม่ยาก" จนเกินไปหาก "ปู่รอย" มีโชคสักเล็กน้อย เช่น รูนี่ย์, เจอร์ราร์ด และตัวหลัก ไม่นัดมาเจ็บ หรือติดแบนพร้อมกัน
ทั้งนี้แม้ "ส่วนผสม" เด็กๆ 20 ต้นๆ จะจำเป็น และมีประโยชน์ ทว่ารุ่นใหญ่ยังไงก็สำคัญ
ครับ สำหรับผมแล้ว ตัวเองก็ตื่นเต้นที่ได้เห็น "ทัศนคติ" และแนวทางที่เริ่มจะชัดเจนขึ้นของ ฮอดจ์สัน กับแผนการลุยบราซิล 2014
ตอนนี้อังกฤษมีนักเตะ 20 ต้นๆ หรือต่ำกว่าที่กำลังสด และแรงอยู่ก้อนใหญ่ อาทิ วัลค็อตต์ (23ปี), วอล์คเกอร์ (22), เบอร์ทรานด์ (23), เวลเบ็ค (21), คาร์โรลล์ (23), สเตอร์ริดจ์ (23), เคลลี่ (22), เฮนเดอร์สัน (22), ลิเวอร์มอร์ (22), เชลวี่ย์ (20), สเตอร์ลิ่ง (17) ฯลฯ
มีนักเตะ 20 กลางๆ ถึงปลายๆ อยู่อีกก้อนโต โจ ฮาร์ท (25), เคฮิลล์ (26), มิลเนอร์ (26), ยัง (27), รูนี่ย์ (26), ริชาร์ดส์ (24), ดาวนิ่ง (28), เบนส์ (27), จอห์นสัน (28) ฯลฯ
ถัดจากนั้นก็พวก 30 อัพ ที่รู้ๆ อยู่ที่ก้อนเริ่มเล็กลง นำโดย เจอร์ราร์ด, แลมพาร์ด,แอชลี่ย์ โคล, ปาร์คเกอร์, แบร์รี่ ฯลฯ
มากกว่านั้น ความลงตัวยังอยู่ที่การมีนักเตะหลากหลายขึ้นอันทำให้ฮอดจ์สันวาง "ฟอร์เมชั่น" ได้หลายแบบ และเป็นทีมที่มีนักเตะความเร็วสูงอยู่หลายคนอันเป็นคุณสมบัติสำคัญของฟุตบอลยุคใหม่
แต่ทั้งหลายทั้งปวงนี้จะไม่มีความหมายเลยครับ หากไม่ได้ที่ 1 ในกลุ่มเอช และไม่ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการกับโปแลนด์วันอังคารนี้
เรื่องโดย "Kai Mook Dum"